ลุงวั่นนับเป็นผู้อาวุโสในจวนเยี่ยนอ๋อง ในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดของเยี่ยนจิ่วเฉา เขาทนต่อสิ่งล่อตาล่อใจ ต่อสู้กับการคุกคาม เลี้ยงเยี่ยนจิ่วเฉามาจนเติบใหญ่ ด้วยเหตุผลนี้เอง อวี๋หวั่นจึงคิดว่าเขาควรค่าแก่การให้อภัย
“ฮูหยินน้อย…” ลุงวั่นน้ำตาไหลอาบข้างแก้ม ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองหน้ามืดตามัว ฮูหยินน้อยดีถึงเพียงนี้ ตอนนั้นเขากลับถูกซูมู่หลอกให้คิดว่าคนหน้าซื่อใจคดอย่างซูมู่นั้นเป็นคนดีได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นเคยนั่งเรือรบของเมืองเยี่ยนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเธอและเด็กทั้งสามถูกเหยียนหรูอวี้ขังเอาไว้บนเรือล่องทะเลสาบหรู เยี่ยนไหวจิ่งมาช่วยเธอ แต่กลับไม่ช่วยเด็กทั้งสาม ขณะที่กำลังจะหมดหวังนั้นเอง เธอก็เห็นเยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่บนหัวเรือรบลำมหึมา โดดเด่นท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง อาภรณ์สีขาว สีหน้าเย่อหยิ่งเย็นชา เรือรบเรียงรายอย่างน่าเกรงขาม ใบเรือโบกสะบัดตามสายลม
แม้เรื่องนี้จะผ่านไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่หวนนึกกลับไป อวี๋หวั่นก็ยังรู้สึกตกใจและตื่นเต้นอยู่เสมอ นี่เป็นขุมกำลังของเยี่ยนจิ่วเฉา และเป็นความเกรียงไกรของกองทัพเรือแห่งเมืองเยี่ยน
เยี่ยนจิ่วเฉาพาอวี๋หวั่นขึ้นเรือ เด็กทั้งสามตามมาด้านหลัง
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กทั้งสามได้นั่งเรือที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีห้องสองชั้น เด็กทั้งสามตื่นเต้นจนโบกไม้โบกมือ วิ่งวนไปทั่ว
ลุงวั่นเห็นเด็กทั้งสามผิวไหม้เกรียมเช่นนี้ ก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาวิ่งเล่นกลางแดดจนผิวเป็นเช่นนี้หรือ?
แต่ว่า ผิวคล้ำก็เรื่องหนึ่ง พวกเขาโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาตัวเตี้ยม่อต้อ ทั้งยังผอมกะหร่อง ราวกับลูกลิง ตอนนี้ตัวอ้วนจ้ำม่ำ ทั้งยังสูงขึ้น ที่สำคัญก็คือพวกเขามีวิชาติดตัว ไม่ได้เป็นเด็กเงอะๆ งะๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“มาจับข้าสิ! มาสิๆๆ! แบร่ๆๆ!” เสี่ยวเป่าวิ่งนำหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังหันหน้ามาแลบลิ้นใส่เอ้อร์เป่าและต้าเป่า
แต่ขณะที่เขาแลบลิ้นปลิ้นตานั้น เอ้อร์เป่าและต้าเป่าก็วิ่งนำหน้าเขาไปแล้ว!
เสี่ยวเป่าตะลึงงัน!
อย่าทำแบบนี้สิ!!!
“พะ…พวกเจ้ารอข้าก่อน! ข้ายังไม่ได้เริ่มเลย!” เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นเท้าเอว “หึ!”
เอ้อร์เป่า “แบร่ๆๆๆ!”
เสี่ยวเป่าหันหลังหนีด้วยความโกรธ สองมือกอดอก หันหน้าหนี “ไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว!”
ลุงวั่นประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้น? เด็กทั้งสามพูดได้แล้วหรือ? ทั้งยังเจื้อยแจ้วเชียว?
“ต้าเป่า พวกเราก็จะไม่เล่นกับเสี่ยวเป่าแล้ว!” เอ้อร์เป่าจูงมือต้าเป่า แล้วเดินไปด้วยความเย่อหยิ่ง
ลุงวั่นสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ยกมือขึ้นทาบอก ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เขาได้ยินเด็กทั้งสามพูดแล้วจริงๆ!
“พวก…พวกเขาหัดพูดได้ตั้งแต่เมื่อไรหรือ?” ลุงวั่นจำได้ว่าตอนที่พวกเขาออกจากเมืองหลวง เด็กทั้งสามยังพูดไม่ได้สักคำ เขาสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปริปากพูดสักที
อวี๋หวั่นมองลุงวั่น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่อยู่ในจวนเทพสงครามในหนานจ้าว เสี่ยวเป่าเริ่มพูดคน
แรก”
เสี่ยวเป่าชอบดื่มนมมาก คำแรกที่เขาพูดก็คือ ‘นมๆ’ ร้องอยู่สองครั้ง เธอจึงให้เขาเรียกท่านแม่ ถ้าเรียกได้ ก็จะไปต้มนมแพะให้เขากิน เสี่ยวเป่าก็เรียกอย่างว่าง่าย
แม้ว่าพวกเขาจะพูดช้ากว่าเด็กทั่วไป แต่ความเร็วในการเรียนรู้นั้นไม่ช้า ภายในครึ่งวัน เสี่ยวเป่าก็ไม่เพียงเรียก
ท่านแม่ได้ แต่ยังเรียกท่านปู่ ท่านย่าได้ด้วย แต่เขาไม่ยอมเรียกท่านพ่อ
เรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะพ่อของเขา ไม่เช่นนั้นทำไมเด็กคนนี้ถึงเจ้าเล่ห์และดื้อรั้นกว่าพี่ชายอีกสองคนของเขาละ
“แล้ว…หลังจากนั้นเล่า?” ลุงวั่นได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่ จึงอดใจไม่ไหว อยากฟังต่อ
อวี๋หวั่นยิ้ม “หลังจากนั้นไม่นาน เอ้อร์เป่าก็พูดเช่นกัน”
อาจเป็นความเชื่อมโยงของฝาแฝดทั้งสาม คนหนึ่งหิว อีกสองคนก็หิว คนหนึ่งอยากเข้าห้องน้ำ อีกสองคนก็อยากเข้าเช่นกัน เพียงแต่ว่า เรื่องอื่นพวกเขาทำเหมือนๆ กัน มีเพียงเรื่องเดียวที่ต้าเป่าไม่ยอมทำตามน้องชาย
“เด็กฉลาดมักพูดช้า” ลุงวั่นบอก
อวี๋หวั่นยิ้ม พยักหน้าน้อยๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]