“คุณหนูเซียวรู้จักที่นี่ได้อย่างไรหรือ?” อวี๋หวั่นหยิบถ้วยสะอาดใบหนึ่งขึ้นมา เธอรู้ว่าบุตรีของสกุลเซียวไม่ชอบดื่มชาบ้านเธอ เธอจึงรินน้ำเปล่าให้นางแทน
หลังจากหญิงสาวสกุลเซียวรับถ้วยมาแล้ว ก็วางมันลงกับโต๊ะอย่างนุ่มนวลและตอบอวี๋หวั่น “ข้าได้ยินคนพูดกัน”
“ฮูหยินเซียวหรือ?” อวี๋หวั่นนั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
หญิงสาวสกุลเซียวส่งเสียงอื้มตอบรับ
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เช่นนั้น วันนี้ท่านมาที่นี่เพื่อซื้อวัตถุดิบให้ฮูหยินเซียว หรือตัวท่านเอง?”
“…ซื้อให้ทั้งหมด” หญิงสาวสกุลเซียวกล่าว
“เต้าหู้เหม็นหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
หญิงสาวสกุลเซียวตกตะลึง
อวี๋หวั่นยิ้ม “คุณหนูเซียว ท่านมาซื้อวัตถุดิบถึงบ้านข้า ท่านไม่น่าจะไม่ทราบว่าข้าขายสิ่งใดกระมัง?”
“ข้ารู้” หญิงสาวสกุลเซียวรีบเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวของเจ้าเคยขายหมูตุ๋น”
“นั่นเป็นเรื่องนานมาแล้ว” ดูเหมือนซั่งกวนเยี่ยนจะไม่ได้เป็นคนบอกแม่นางผู้นี้ ซั่งกวนเยี่ยนไม่ทราบว่าครอบครัวของเธอเคยขายหมูตุ๋น ตอนที่ซั่งกวนเยี่ยนมา ครอบครัวของเธอก็แทบไม่ได้ทำธุรกิจหมูตุ๋น และเปลี่ยนไปทำเต้าหู้เหม็นกับหน่อไม้ดองแทน
อวี๋หวั่นไม่ได้ถามต่อว่านางรู้มาจากใคร ในมุมมองของเธอ มันไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือจะทำธุรกิจได้หรือไม่ได้
อวี๋หวั่นมองหญิงสาวสกุลเซียวพลางเอ่ยว่า “หากคุณหนูเซียวต้องการซื้อหมูตุ๋น เกรงว่าต้องสั่งล่วงหน้า ตอนนี้ครอบครัวของข้ามีเต้าหู้เหม็นกับหน่อไม้ดอง คุณหนูเซียวต้องการเท่าใด?”
ขนตาของหญิงสาวสกุลเซียวสั่นไหว “อาหญิงรองของข้าซื้อเท่าใด ข้าก็ซื้อเท่านั้น”
อวี๋หวั่นเข้าไปหยิบเต้าหู้เหม็นห้าโถจากในห้องครัว “โถหนึ่งมีสิบจิน หนึ่งจินสิบห้าอีแปะ รวมทั้งหมดเจ็ดร้อยห้าสิบอีแปะ”
ของเยอะถึงเพียงนี้ ราคายังน้อยกว่าเงินเพียงหนึ่งตำลึง หญิงสาวสกุลเซียวคิดว่ามันถูกมาก จึงส่งสัญญาณให้สาวใช้จ่ายเงิน แต่สาวใช้จ้องตาไม่กะพริบ “เต้าหู้อะไรแพงถึงเพียงนี้? เต้าหู้ในเมืองราคาเพียงสี่อีแปะต่อหนึ่งจิน! เจ้าโกงเราแล้วกระมัง!”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มบางๆ “เต้าหู้เหม็นของข้าขายราคานี้มาตลอด ข้าขายให้เพราะเห็นแก่ฮูหยินเซียวและแม่ทัพใหญ่เซียว เดิมทีทำส่งหอจุ้ยเซียนก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว”
สาวใช้ขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “คุณหนู! อย่าไปฟังนาง! มีเต้าหู้มากมายในเมืองหลวง หากท่านอยากทาน ข้าจะไปซื้อจากที่อื่นมาให้ท่าน! เขาไม่ใจดำเหมือนกับนาง!”
อวี๋หวั่นยิ้ม เต้าหู้เหม็นของเธอมีเพียงที่เดียว นอกจากหอจุ้ยเซียนในเมืองหลวง ก็ไม่อาจหาทานจากที่ใดได้อีก และหอจุ้ยเซียนก็ขายแพงกว่าเธอหลายเท่า เด็กคนนี้ยังอายุน้อย คิดว่าตนเองฉลาดกว่าใคร
เธอมองออก ว่านายบ่าวคู่นี้มิได้มาเพื่อซื้อของ แต่น่าจะมาหาเธอมากกว่า
อวี๋หวั่นมองหญิงสาวสกุลเซียวพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณหนูเซียวไม่ซื้อ เช่นนั้นข้าขอตัวไปทำงานก่อน”
หญิงสาวสกุลเซียวมีท่าทีลังเล
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจนาง และนำโถเต้าหู้เหม็นกลับไปไว้ที่ห้องครัวดังเดิม เมื่อเธอกลับออกมาที่ห้องโถง นายบ่าวทั้งสองก็ออกไปแล้ว
หญิงสาวสกุลเซียวปรากฏตัวอย่างน่าแปลกใจ แต่อวี๋หวั่นก็ไม่ได้ใส่ใจ หลังจากพาเด็กๆ ไปทานอาหารกลางวันที่บ้านหลังเก่า เธอกับอวี๋เฟิงก็นั่งรถลากวัวของบ้านซวนจื่อไปบนถนน
เดิมทีคิดว่าจะพาเด็กๆ มาด้วย แต่เด็กๆ ตื่นเช้าเกินไป จนเผลอหลับไปบนโต๊ะอาหารขณะที่ทานข้าว อวี๋หวั่นจำต้องทิ้งพวกเขาไว้ที่นั่น
เมื่อรถลากวัวมาได้ครึ่งทาง จู่ๆ เสียงกรีดร้องของหญิงสาวก็ดังมาจากด้านหน้า “อ๊า คุณหนู”
สองพี่น้องหันไปมอง ข้างคันนาที่ห่างไปไม่ไกล มีรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ สารถีรถม้ายืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างรถด้วยสีหน้าหวาดกลัว เสียงกรีดร้องดังออกมาจากด้านในรถม้า เมื่ออวี๋หวั่นฟังเสียง ก็สัมผัสได้ถึงเสียงที่คุ้นเคยอย่างคลับคล้ายคลับคลา
อวี๋เฟิงขับรถลากวัวเข้าไปและถามสารถีผู้นั้น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
สารถีรถม้าเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ข้า…ข้าก็ไม่รู้…”
ไม่รู้จริงๆ เขาขับรถอยู่ และทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากในรถ คล้ายกับมีคนล้มลงกับพื้น เขาจึงหยุดรถและหันไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สาวใช้ก็ไม่ตอบ ไม่เพียงไม่ตอบ แต่ไม่ให้เขาดูด้วย
แต่เขาก็พอเดาได้ว่าน่าจะเกิดเรื่องกับคุณหนู
อวี๋หวั่นกระโดดลงจากรถลากวัว พลางมองไปที่สารถีและมองผ้าม่านที่ปิดสนิท เธอก้าวขึ้นไปบนรถม้าและเปิดผ้าม่าน
สาวใช้คิดว่าเป็นสารถีรถม้า จึงตะโกนด่าใส่หน้าเธอ “ใครใช้ให้เจ้าเข้ามา! ออกไป…ว้าย”
ก่อนที่นางจะพูดจบ อวี๋หวั่นก็ดึงคอเสื้อของนางและลากออกจากรถอย่างไม่ไยดี
แสงในรถม้ามืดสลัว หญิงสาวสกุลเซียวนอนอยู่บนพื้นอย่างเลื่อนลอย ดวงตาเหลือกขึ้นด้านบน ใบหน้าเขียวคล้ำ กัดฟันแน่น เมื่ออวี๋หวั่นเห็นความผิดปกติ จึงรีบจับชีพจรที่ข้อมือของนาง
โรคลมบ้าหมู!
อวี๋หวั่นตกใจ รีบเปิดม่านและผลักหน้าต่างออกเพื่อให้อากาศถ่ายเท
“เจ้าทำอะไรน่ะ!” สาวใช้รีบกระโจนขึ้นมาราวกับคนคลั่ง คุณหนูเป็นโรคนี้ ไม่อาจให้ผู้ใดเห็นได้!
อวี๋เฟิงจับตัวนางไว้และตะโกนอย่างเฉียบขาด “น้องสาวของข้าเป็นหมอ! นางกำลังช่วยคุณหนูของเจ้าอยู่!”
สาวใช้ดิ้นรนขัดขืน “นางไม่ได้ช่วยคุณหนูของข้า! นางจะทำร้ายคุณหนูของข้า! เจ้าบอกให้หญิงใจดำนั่นปล่อยคุณหนูของข้าเดี๋ยวนี้!”
อวี๋หวั่นไม่สนใจ เธอคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เปิดคอเสื้อของหญิงสาวสกุลเซียว จากนั้นจึงจับให้นางนอนตะแคง พลางคว้าเสื้อคลุมมาหนุนรองศีรษะของนาง และย้ายเก้าอี้ด้านข้างออกไป
ม่านของรถม้าถูกเปิดออก ภาพด้านในรถม้าก็ฉายออกสู่สายตาผู้คนจำนวนหนึ่ง เมื่อสารถีเห็นฉากนี้ครั้งแรกก็รู้สึกตกใจ
สาวใช้โกรธมาก “เจ้ากล้าดูรึ! ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา!”
สารถีรถม้ารีบหันหลังกลับด้วยความหวาดกลัว
หญิงสาวสกุลเซียวก้มหัวลงไม่กล่าวสิ่งใด
อวี๋หวั่นถอนใจ “เอาละ ท่านอย่าทำท่าราวกับคนถูกจับได้ เมื่อครู่ข้าได้บอกไปแล้ว จ้าวเหิงกับข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกันอีก พวกท่านจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกท่าน แต่ต่อไปอย่าได้เอาข้าไปเกี่ยวด้วย ข้าจะถือว่าวันนี้ท่านไม่เคยมาที่นี่”
หญิงสาวสกุลเซียวกัดริมฝีปาก หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
หลังจากนั้นนางก็เปิดปากอีกครั้ง ราวกับต้องการเอ่ยบางอย่างที่ยากจะเอ่ย
ไหนเลยอวี๋หวั่นจะไม่เข้าใจความหมายของนาง? ทุกอย่างเขียนอยู่บนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าเป็นหมอ ข้ายังมีจรรยาบรรณแพทย์ ข้าจะไม่เปิดเผยอาการป่วยของท่าน และยิ่งไม่มีทางไปถึงหูของจ้าวเหิงแน่”
ในชาตินี้เธอแทบจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับจ้าวเหิง ไหนเลยจะไปบอกความลับกับจ้าวเหิง?
เทียบระหว่างจ้าวเหิงรู้ความจริงเกี่ยวกับอาการป่วยของหญิงสาวสกุลเซียว สิ่งที่อวี๋หวั่นกังวลมากกว่า คือหญิงสาวสกุลเซียวรู้จักตัวตนของจ้าวเหิงดีเพียงใด
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเอ่ยถึงจ้าวเหิง ดวงตาของนางก็เป็นประกายสดใส เห็นได้ชัดว่านางหลงรักจ้าวเหิงมาก ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เดินทางไกล เพื่อมาพบอดีตคู่หมั้นของจ้าวเหิงถึงที่นี่ เธอจึงคิดว่า ไม่ว่าจะพยายามบอกนางถึงนิสัยใจคอของจ้าวเหิงอย่างไร นางก็คงไม่เชื่อ และอาจเข้าใจผิดว่าเธอยังมีใจให้จ้าวเหิง จึงต้องการแยกนางกับจ้าวเหิง
ช่างน่าขันสิ้นดี ผู้ชายอย่างจ้าวเหิงไม่เคยขาดสตรีที่ทุ่มเทหัวใจให้กับเขา ก่อนหน้านี้ก็เป็นอาหวั่น ตอนนี้ก็เป็นหญิงสาวสกุลเซียว
ยังคิดอยู่ว่าเหตุใดจ้าวเหิงจึงย้ายออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวาในชั่วข้ามคืน ที่แท้ก็ตะกายเกาะกิ่งไม้สูงกิ่งใหม่ได้แล้ว
อวี๋หวั่นเหลือบมองนางด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ท่านต้องการให้ข้าพาไปร้านขายยาในเมืองหรือไม่?”
หญิงสาวสกุลเซียวส่ายศีรษะเบาๆ
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” อวี๋หวั่นหยัดกายลุกขึ้นยืน
ทันใดนั้นหญิงสาวสกุลเซียวก็เอื้อมมือคว้าแขนเสื้อของเธอไว้
อวี๋หวั่นหันมองนางและเอ่ยว่า “หากท่านต้องการรู้เรื่องของจ้าวเหิง…”
“ข้าชื่อจื่อเยว่”
นางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
อวี๋หวั่นชะงักไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
เอ่ยจบ เธอก็เดินลงจากรถม้า
…………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]