อวี๋เฟิงนึกถึงสาวใช้ผู้นั้นที่มีเจตนาไม่ดีกับอวี๋หวั่น พลันถามด้วยความสงสัย “อาหวั่น พวกนางรู้จักเจ้าหรือ?”
อวี๋หวั่นไม่ได้เล่าถึงตัวตนของหญิงสาวสกุลเซียว และความสัมพันธ์ของนางกับจ้าวเหิง กล่าวเพียงว่า “พวกนางมาหาข้าที่หมู่บ้านเพื่อซื้อเต้าหู้เหม็นเมื่อเช้านี้ ทว่าสาวใช้คิดว่าราคาสูงเกินไป จึงบอกว่าข้าใจดำ คิดจะโกงพวกนางและจากไป”
“เป็นเช่นนี้เอง” อวี๋เฟิงพยักหน้า ข้อมือที่ถูกกัดยังหลงเหลือความเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย สาวใช้ผู้นั้น กล้ากล่าวเช่นนั้น กล้าทำเช่นนั้น เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ คิ้วของอวี๋เฟิงก็ขมวดเป็นปม “น่าเสียดาย แม่นางผู้นั้นอายุยังน้อย ไฉนจึงเป็นโรคนี้?”
เซียวจื่อเยว่นอนตะแคงตลอด อวี๋เฟิงจึงเห็นหน้านางไม่ชัด ทำได้เพียงมองใบหน้าด้านข้างของนางผ่านๆ จึงเดาว่านางเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบห้าหรือสิบหก
อวี๋หวั่นเหม่อมองทุ่งข้าวสาลีนอกหน้าต่าง พลางพึมพำ “ใช่ น่าเสียดายจริงๆ”
อายุยังน้อย ใยหูตามืดบอดตกหลุมรักผู้ชายอย่างจ้าวเหิงได้?
…
“คุณหนู… คุณหนู คุณหนู!” สาวใช้สะดุ้งตื่นขึ้นมา และพบว่านางนั่งอยู่บนรถม้าที่แกว่งไกว ข้างกายของนางคือเซียวจื่อเยว่ที่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว นางรีบถาม “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เซียวจื่อเยว่ส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นไร วันนี้ต้องขอบคุณแม่นางอวี๋ยิ่งนัก”
สาวใช้ขบเม้มริมฝีปาก “ท่านขอบคุณนางไปไย? ต้องโทษนางสิ! ตอนนี้มีคนอีกสองสามคนล่วงรู้อาการป่วยของท่านแล้ว! นางจงใจ! กลับไปนางคงแพร่งพรายเรื่องนี้ ท่านอยู่ในเมืองหลวงก็คง…”
“ไม่มีทาง” เซียวจื่อเยว่ขัดจังหวะนาง “นางสัญญากับข้าว่านางจะเหยียบเรื่องนี้ไว้”
“ท่านเชื่อคำพูดของนางหรือ?” สาวใช้กระทืบเท้า “ท่านลืมไปแล้วหรือว่านางยกเลิกสัญญาแต่งงานกับคุณชายจ้าวอย่างไร? นางมีสัญญาแต่งงานกับคุณชายจ้าว แต่ก็วิ่งไปอยู่กับผู้ชายอีกคน ตนเองไม่บริสุทธื์แล้ว ยังโกหกหลอกลวงคนทั้งหมู่บ้าน ทำให้คุณชายจ้าวถูกชาวบ้านกดดัน จนแทบจะไม่มีหน้าอยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไป”
เซียวจื่อเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไม่คิดว่านางเป็นคนเช่นนั้น”
สาวใช้เอ่ยชี้แนะอย่างจริงใจ “คุณหนู คนเราจิตใจยากแท้หยั่งถึง ท่านพบนางเพียงไม่กี่ครั้ง ก็รู้แล้วหรือว่านางเป็นคนเช่นไร? ท่านเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลเซียว สถานะของท่านสูงส่งยิ่งนัก ข้าดูแล้วแปดในสิบส่วน นางคงอยากประจบสอพลอท่าน หาประโยชน์จากท่าน ไม่ว่าอย่างไรท่านอย่าได้ตกหลุมพลางนางเด็ดขาด!”
เซียวจื่อเยว่ถอนใจ และไม่เอ่ยคำใดอีก
…………………..
ณ จวนคุณชาย
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าเศร้าหมอง สายตาทอดมองไปยังลานกว้างอย่างเงียบสงบ และเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “นางยังไม่มาขอคืนดีกับข้าอีกหรือ?”
อิ่งสือซันกล่าวอย่างใจเย็น “ขอรับคุณชาย แม่นางอวี๋ยังไม่มาขอคืนดีกับท่าน”
เยี่ยนจิ่วเฉาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ “นางบังอาจยิ่งนัก! เจ้าไม่ได้บอกรึว่าแค่ขอโทษก็จบ!”
แต่คำขอโทษของท่านยังไม่ออกไปเลย…
อิ่งสือซันไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอีก หากเขาทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม คงได้ถูกหักเงินเดือนอีก
อิ่งสือซันจึงแสร้งไม่เอ่ยสิ่งใด
เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะสองสามครั้ง พลางนึกอะไรบางอย่างได้ จึงสั่งอิ่งสือซัน “ไปจับตัวพวกหลู่เซียวเหยามาให้ข้า!”
“…ขอรับ” อิ่งสือซันรีบเดินทางไปโดยไม่มีการหยุดพัก เพียงครึ่งชั่วยามต่อมา อันธพาลใหญ่ทั้งสี่ในเมืองหลวงที่นำโดยหลู่เซียวเหยา ก็ถูกอิ่งสือซันโยนเข้าไปในห้องทำงานของจวนคุณชายทีละคน
พวกเขาเคยเป็นกระสอบทรายให้เยี่ยนจิ่วเฉาทารุณอย่างโหดร้ายมาก่อน ทันทีที่ถูกอิ่งสือซันจับตัวมาที่จวนคุณชาย พวกเขาก็กลัวจนขาอ่อนแรง
หลู่เซียวเหยาร้องไห้พลางเอ่ยว่า “คุณชาย ครั้งนี้พวกเราทำสิ่งใดผิดอีกหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ข้าไม่ได้บอกว่าจะทุบตีเจ้า เก็บน้ำมูกน้ำตาของพวกเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
พวกเขาหยุดร้องไห้ในทันที
ตาของหลู่เซียวเหยากลิ้งกลอกและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าคุณชายเหงา ท่านอยากไปพักผ่อนที่ใด? เร็วๆ นี้ข้าเพิ่งค้นพบที่ดีๆ มาด้วยละขอรับ!”
“มีสตรีหรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
หลู่เซียวเหยาผงะไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนโขลกกระเทียม “มี มี มี! มีแน่นอนขอรับ!”
“มีแล้วยังกล้าพาคุณชายผู้นี้ไป! คิดว่าตัวเองอายุยืนเกินไปใช่หรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉาคว้าหนังสือเล่มเล็กบนโต๊ะขว้างใส่เขา
หลู่เซียวเหยาถูกทุบจนร้องครวญคราง
สหายอีกสามคนที่มองเห็นตกใจอ้าปากค้าง
หลู่เซียวเหยา ‘ไหนบอกว่าไม่ทุบตีเล่า?’
“คุณชายเรียกพวกเรามาวันนี้ จะให้ส่งคนไปทำงานด้านนอกหรือขอรับ?” อันธพาลอันดับสองเริ่มเอ่ยปาก
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างใจเย็น “ข้ามีคำถามสองสามข้อที่อยากถามพวกเจ้า หากตอบถูก คุณชายผู้นี้จะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนอีก ทว่าหากตอบผิด…”
หลู่เซียวเหยารีบร้อนเอ่ย “ไม่มีทางตอบผิด! ไม่มีทางตอบผิด! คุณชายโปรดถาม!”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยท่าทางหยิ่งยโส “หญิงคนหนึ่งที่คิดถึงเจ้า ปักใจรักเจ้า เสน่หาลึกซึ้ง ชั่วฟ้าดินสลาย… “
หลู่เซียวเหยา “…”
เอ่อ…มีผู้หญิงเช่นนี้ด้วยรึ?
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวต่อ “ต้องเอาใจนางอย่างไร?”
คนทั้งสี่ซวนเซ แทบล้มทั้งยืน
หญิงคนหนึ่งที่คิดถึง ปักใจรัก เสน่หาลึกซึ้ง ชั่วฟ้าดินสลาย ยังต้องเอาใจอีกหรือ? ยอมรับความจริงก่อนดีหรือไม่?!
หลู่เซียวเหยาสะบัดแขนเสื้อกว้าง ปัดผมสีดำที่ห้อยอยู่ข้างหน้า กลับไปที่ไหล่ด้านหลัง แล้วยกคางขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า “หากจะถามเรื่องเอาใจสตรี คุณชายถามถูกคนแล้ว! ไม่มีสตรีนางใดในโลกหล้าที่ข้าหลู่เซียวเหยาไม่สามารถเอาอกเอาใจได้!”
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
หลู่เซียวเหยาหดคอ “พี่สะใภ้ ยกเว้นพี่สะใภ้ แต่ขอเพียงแค่คุณชายออกโรงเอง ต้องได้แต่งงานอย่างแน่นอน!”
“ฮึ” เยี่ยนจิ่วเฉาเบนสายตาออกไปอย่างเย็นชา
พวกของหลู่เซียวเหยาเป็นชายเจ้าสำราญที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง พวกเขาไม่มีทักษะอื่นใด ทว่าเรื่องเอาอกเอาใจสตรีนั้นแพรวพราวยิ่ง
“ข้าน้อยขอถาม พี่สะใภ้ นางอ่านออกเขียนได้หรือไม่? หรือว่าชอบอ่านหนังสือ?” หลู่เซียวเหยาถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาจำกองหนังสือแพทย์ในบ้านของอวี๋หวั่นได้ เขาพยักหน้า “ชอบ”
หลู่เซียวเหยาตีมือพลางเอ่ยว่า “ได้การละ! สตรีมากความสามารถรักในบทกวีขอรับ!”
……………….
อวี๋หวั่นไปซื้อกางเกงใหม่ให้เถี่ยตั้นน้อย เสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับเด็กน้อยทั้งสามและเด็กหญิงตัวน้อยที่เมืองหลวง จากนั้นก็กลับหมู่บ้านพร้อมกับอวี๋เฟิง
ทันทีที่เธอเดินเข้าไปในห้องโถง เถี่ยตั้นน้อยก็วิ่งมา “ท่านพี่ มีจดหมายถึงท่าน!”
อวี๋หวั่นรับกองจดหมายหนาๆ มาและหันกลับเข้าไปในห้อง
อวี๋หวั่นเปิดจดหมายฉบับแรก
“ฟ้าเขียวคือปกคอเจ้า สุขสงบคือใจข้า วันใดไม่ได้พบหน้า ส่งข่าวมามิได้หรือ?
ฟ้าเขียวคือสิ่งที่เจ้าติดตัว สุขสงบคือความรู้สึกข้า วันใดไม่อาจไปหา เจ้าเข้ามามิได้หรือ? มาพานพบสบตา ที่หอคอยประตูเมือง”
อวี๋หวั่นเปิดจดหมายฉบับที่สอง
“นกจีจิวขันร้องเรียกหาคู่ อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ สาวงามแสนดีเอย เจ้าเป็นที่หมายปองของบุรุษ….เกี้ยวเจ้ายังไม่สมหวัง เฝ้าคำนึงถึงเจ้าทั้งยามตื่นและยามหลับ โอ้ เฝ้าแต่คิดถึงเจ้า คิดถึงเจ้า นอนพลิกหงายพลิกคว่ำแต่ไม่อาจข่มตาให้หลับ”
จดหมายฉบับที่สาม
“มีสตรีงามนางหนึ่ง เมื่อต้องพบสบตา ไม่อาจลืมเลือน วันใดไม่ได้พบหน้า จิตใจข้าว้าวุ่นไม่เป็นสุข”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
หน้าต่างถูกเคาะ
อวี๋หวั่นผลักออกไปและเห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณด้วยท่าทางยโสโอหังยิ่ง เขาเหลือบมองจดหมายในมือของเธอและเอ่ยว่า “พึงพอใจกับสิ่งที่เจ้าเห็นหรือไม่?”
อวี๋หวั่น “…”
…
อวี๋หวั่นหันกลับมาและปรายตามองเขาเบาๆ “มีเรื่องอันใด?”
‘ข้าชอบเจ้า!’
‘คุณชายผู้นี้จะกล่าววาจาน่าสะอิดสะเอียนเช่นนั้นได้อย่างไร?!’
‘ทว่าสตรีชอบฟังคำที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ละ! คุณชายยังอยากเอาใจพี่สะใภ้กลับมาอยู่หรือไม่? ทำตามที่ข้าบอก ท่านต้องแสดงความรักที่ลึกซึ้งและจริงใจ ทางที่ดีก็ควรกล่าวพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของนาง’
หูของเยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกร้อนผ่าวและกล่าวอย่างดุดัน “เจ้า…เจ้าเข้ามานี่!”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ไป มีสิ่งใดก็ว่ามา”
มีสิ่งใดกับผีสิ
เยี่ยนจิ่วเฉาหายใจถี่ขึ้น หัวใจเริ่มเต้นแรง เขาอยากจะทำตามที่หลู่เซียวเหยาบอก แต่กลับพบว่าตนเองแทบไม่อาจมองเข้าไปในดวงตาของเธอได้ เขาสูดหายใจเข้าแล้วเอ่ยช้าๆ “ข้า…”
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหว “งู! หลบไป!”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ขยับ
อวี๋หวั่นเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ข้าบอกให้ท่านหลบไป!”
งูอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะของเยี่ยนจิ่วเฉา และกำลังจะตกลงมาบนร่างของเขา ทว่ากลับดูเหมือนเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ยินอะไรเลย ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเขาเหม่อลอยหรืออย่างไร เหตุใดไม่รีบหลบ หากจะวิ่งไปดึงเขาออกมาก็คงไม่ทัน อวี๋หวั่นรีบคว้าเคียวจากตะกร้า ขว้างมันออกไป
เคียวตัดงูพิษขาดครึ่งกลางอากาศ ร่างของมันตกลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ไม้โบราณ และกระเด็นหล่นลงพื้น เลือดสาดกระเซ็นถูกใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา
“ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ? บอกให้ท่านหลบ ไยท่านไม่หลบ! ท่านรอให้ข้าไปช่วยใช่หรือไม่? ท่านไม่คิดหรือว่า หากข้าโกรธแล้วไม่ช่วยท่านจะทำอย่างไร? แล้วหากข้าพลาดจะทำอย่างไร?” เคียวที่ขว้างไปเมื่อครู่ หากไม่โดนงูพิษ เขาก็อาจถูกงูพิษกัดจนตาย หรือไม่ก็เขวี้ยงโดนเขาจนบาดเจ็บเจียนตาย แค่อวี๋หวั่นนึกถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ มือของเธอก็สั่นด้วยความหวาดกลัว
ทว่าในไม่ช้า อวี๋หวั่นก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
สายตาของอวี๋หวั่นตกกระทบกับขาอันแข็งแกร่งของเขา “ขาของท่าน…ขยับไม่ได้หรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เอ่ยสิ่งใด
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นคุกเข่าลง จ้องมองเขาแน่นิ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉาพิงพนักเก้าอี้ด้วยใบหน้าถอดสี
ท่าทีของอวี๋หวั่นเปลี่ยนไป “ท่าน…ท่านถูกวางยาอีกแล้วหรือ?”
“ข้าไม่เป็นไร” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างอ่อนแรง
อวี๋หวั่นเอื้อมมือไปปลดอาภรณ์ของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมือเธอไว้
“แก้พิษก่อน!”
“แต่งงานก่อน”
“ท่านยังคิดเรื่องแต่งงานอีกหรือ? ชีวิตของท่านก็แทบเอาไม่รอดแล้ว!” ถ้าเธอไม่รู้วิชาการแพทย์ และสามารถจับชีพจรได้ คงคิดว่าผู้ชายคนนี้แกล้งหลอกให้เธอแต่งงานกับเขา ทว่าเขาถูกวางยาจริงๆ
“หากไม่แต่ง…ไม่ยอมให้เจ้า…เอาเปรียบ…”
ผู้ใดเอาเปรียบท่านกัน?!
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างโกรธเคือง “เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากพิษนี้ถอนไม่ได้จะทำเช่นไร? หากท่านตายไปเช่นนี้จะทำเช่นไร? หากแต่งงานไปแล้ว ข้าจะไม่เป็นแม่หม้ายหรือ?”
สติของเยี่ยนจิ่วเฉาหลุดลอยไปบางส่วน “แต่งงานแล้ว…ของข้า…จะเป็นของเจ้า…”
มันเป็นของเจ้าทั้งหมด
เป็นของเจ้าอย่างชอบธรรม
หลังจากข้าตายไป จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าอีก
…………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]