ตอนนี้เวลานี้ สุวิทย์กับโศภิตายังคงขุดเรื่องในอดีตมาพูด ทำท่าทางเศร้าเสียใจต่อหน้าสาริศา
ในเวลานี้ บุญคุณอันน้อยนิดที่พวกเขามีต่อเธอในอดีตกลับกลายเป็นข้อต่อรองเพื่อให้เธอไปเกลี้ยกล่อมธนพัตไม่เอาเรื่องพวกเขา
โศภิตาพูดว่า “ตอนเธอเด็กๆฉันเคยให้ชุดกระโปรงราคาแพงเธอหนึ่งชุด ไรยาเพิ่งจะใส่ได้เดือนเดียวเอง ยังใหม่เอี่ยมอยู่เลยก็ยกให้เธอแล้ว แล้วก็ มีครั้งหนึ่งมีคนให้ปูขนพวกเรามาจำนวนหนึ่ง ฉันยังแบ่งให้เธอกินตั้งสองตัวนะ เธอจำไม่ได้เลยเหรอ พวกเราดีกับเธอแค่ไหน เธอมันเป็นนังงูพิษจริงๆ!”
ชุดกระโปรงเหรอ สาริศานึกขึ้นได้ นั่นเพราะไรยารู้สึกว่าไม่สวยจึงไม่ใส่แล้ว หล่อนจึงเอามาให้เธอ ส่วนปูขน นั่นก็เก็บไว้จนจะเสียแล้ว พวกเขากินไม่ได้แล้วจึงให้เธอ เธอยังท้องเสียไปหลายวัน
นี่ก็คือบุญคุณทั้งหมด มาวันนี้ เธอยังต้องตอบแทนพวกเขา
สาริศาพูดว่า “ฉันเสียใจจังเลยที่ใส่กระโปรงตัวนั้น กินปูขนของพวกคุณ ยิ่งเสียใจที่มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพวกคุณ พวกคุณไม่ต้องพูดอีกแล้ว พูดเรื่องพวกนี้มีความหมายอะไร ขอแค่ฉันตอบแทนบุญคุณเหล่านี้ของพวกคุณแล้ว ต่อไปพวกคุณก็จะปล่อยพวกเราแม่ลูก ให้พวกเราได้มีชีวิตอย่างมีความสุขเหรอ”
โศภิตาคิดในใจว่า แบบนั้นก็พวกเธอก็ได้เปรียบนะสิ!
สาริศารู้สึกเสียใจมาก เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ในวัยเด็ก
ตอนเด็ก ๆสองคนแม่ลูกต่างพึ่งพากันเพื่อความอยู่รอด กันยามักจะต้องทำงานหลายอย่างเป็นประจำ เหนื่อยมากลำบากมาก กลางคืนก็นอนดึกมาก
ช่วงนั้น กันยาออกไปแต่เช้ากลับมาดึก ไม่มีเวลาไปดูแลสาริศาที่ยังเด็กจริงๆ ได้แต่เอาสาริศาไปฝากไว้ให้ครอบครัวของสุวิทย์ที่ดูแล
กันยากำชับสาริศาว่า เมื่อไปที่ตระกูลธราภักดิ์ต้องเป็นเด็กดี อย่าสร้างปัญหา
ปกติ กันยารักลูกสาวมาก พยายามไม่ให้ลูกสาวทำงานบ้านมากเกินไป
แต่ว่า มาอยู่บ้านตระกูลธราภักดิ์ โศภิตากลับให้แม่บ้านไปทำอย่างอื่น บังคับให้สาริศาล้างจาน กวาดบ้าน ทำความสะอาดห้อง ตัดหญ้าในสวนและงานบ้านอื่นๆอีกมากมาย ทรมานเธอ สาริศาในวัยเด็กจึงได้แต่อดทนอดกลั้นอย่างเงียบๆ
ยามค่ำคืน เธอแอบร้องไห้ในผ้าห่ม ไม่กล้าบอกกับกันยา เธอไม่อยากให้แม่ไม่มีสมาธิในการทำงาน
สาริศายังจำได้ สุวิทย์งานยุ่ง แต่โศภิตามักจะพาไรยาที่ยังเด็กออกไปเที่ยวเป็นประจำ สาริศาเองก็ตามไปด้วย
กันยาคิดว่าแบบนี้ดีต่อสาริศา ได้เที่ยวเล่น แล้วยังได้ความรู้เพิ่มขึ้น ดีกว่าไปลำบากลำบนทำงานกับเธอไปทั่ว จึงเห็นด้วยอย่างมากที่สาริศาไปเที่ยวพร้อมกับพวกเขา
กันยาบอกกับเธอว่า “แม่ให้ลูกขนาดนั้นไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาอาศัยตระกูลธราภักดิ์ ไม่ใช่ว่าแม่ไม่มีศักดิ์ศรี แต่แม่ไม่อยากให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความรู้เหมือนกับแม่ แม่อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี ยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้”
ดังนั้น สาริศาจึงเข้มแข็งมากตั้งแต่เด็ก แม้ว่าดูภายนอกจะดูอ่อนแอบอบบาง ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ดื้อรั้นมาก ไม่อยากพึ่งพาใคร
แต่ว่า กันยาคาดไม่ถึง โศภิตาที่ชอบเสแสร้งแสดงละครมักจะทำกับสาริศาเกินกว่าเหตุทุกครั้งที่ไปเที่ยว พาเธอไปด้วย แต่กลับไม่ให้เธอเที่ยวเล่น
โศภิตาซื้อไอศกรีมให้ไรยา แต่กลับพูดกับสาริศาว่า “เธอ ไปหยิบร่มในกระเป๋าออกมา กางให้ไรยาสิ ดูสิลูกสาวที่รักของฉันถูกแดดเผาแล้ว”
สาริศาไม่อยากไป
โศภิตาก็พูดอีกว่า “มีพี่สาวอย่างเธอด้วยเหรอ น้องสาวร้อน กางร่มให้หน่อยก็ไม่เต็มใจ นังตัวดี!”
สาริศาถูกด่าว่ารุนแรง ทุกครั้งเธอเป็นได้แค่คนรับใช้ที่คอยติดตามพวกเขา นั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว มองไรยาเล่นอย่างมีความสุข
โศภิตายังพูดพล่ามอยู่ตรงนั้น
“ดูสิว่าเธอพูดอะไรออกมา สาริศา พวกเราก็ทำดีกับเธอ เธอก็กลับมาตอบแทนพวกเราแบบนี้เหรอ จิตใจเธอทำด้วยอะไร! แล้วอีกอย่าง ค่าใช้จ่ายตอนที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย พวกเราก็เป็นคนออกเงินให้นะ! ไม่อย่างนั้น เธอจะมีวันนี้เหรอ คนเราจะเนรคุณคนได้ยังไงกัน ใช่มั้ย……”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...