หวานเย็น กรุ่นใจ นิยาย บท 469

ธนพัตพาสาริศาเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้ครวญครางที่ดังมาจากด้านหลัง หลังจากเดินออกมาเขาก็ปิดประตูห้อง เพื่อกั้นเสียงของพชิราที่อยู่ด้านใน

เขาดึงสาริศาเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งไกลพอที่จะไม่ได้ยินเสียงของพชิราอีก ธนพัตถึงได้หยุดฝีเท้าลง

เขาปล่อยมือสาริศาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ธนพัตนั่งลงบนที่นั่งริมโถงทางเดินอย่างเหน็ดเหนื่อย พลางให้มือบีบนวดขมับของตัวเองเบา ๆ

เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ นี่คือสภาพอารมณ์ของธนพัตในตอนนี้

เมื่อมองดูธนพัตใช้กุมขมับแบบนั้น สาริศาก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นภายในวันเดียว แถมยังล้มล้างสิ่งที่ตัวเองรับรู้มานานหลายปีไปโดยสิ้นเชิงแบบนี้ เขาคงจะอึดอัดใจมากแน่ ๆ

สาริศาเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ ธนพัต มองเขาด้วยสายตากังวล แต่ไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนเขา มันเป็นอดีตที่เธอไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย เธอไม่รู้ว่าเขาเคยถูกทำร้ายยังไงมาบ้าง ฉะนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าคำพูดแบบไหนที่จะสามารถปลอบโยนเขาได้

สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คงจะทำได้แค่อยู่กับเขา อยู่เป็นเพื่อนเขาเพื่อรำลึกถึงบาดแผลพวกนั้นอีกครั้ง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ซึมซับ และปล่อยวาง...

หลังจากนั่งเงียบ ๆ อยู่กับธนพัตอยู่นาน เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร สาริศาจึงเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้ “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของสาริศา ธนพัตก็ขยับตัว เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เธอ และพูดเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร” แต่ในสายตาของสาริศา รอยยิ้มนี้มันน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก

เธอพูดปลอบเขาอย่างอดไม่ได้ “เรื่องพวกนี้มันผ่านไปแล้ว คุณไม่ต้องไปใส่ใจมันมากหรอก คนเราต้องมองไปข้างหน้า”

สาริศารู้ว่าคำพูดนี้ของเธอมีให้พบเห็นได้ทั่วไป ใคร ๆ ก็รู้ แต่เธอคิดคำปลอบใจเขาไม่ออกแล้วจริง ๆ เธอรู้แค่ว่าพอเห็นธนพัตตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว หัวใจของเธอเหมือนถูกผูกติดกับเขา พลอยเสียใจและเจ็บปวดไปกับเขาด้วย

“ฉันรู้” ธนพัตพยักหน้า เขามองสาริศาอย่างซาบซึ้งใจ เพราะความเป็นห่วงของเธอที่มีต่อเขา “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ฉันยังทนรับไหว เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไร อย่างน้อย ความจริงของคดีลักพาตัวก็ถูกตรวจสอบออกมาแล้ว หลังจากตามสืบสวนมาหลายปี ตอนนี้ถือว่าได้รับผลตอบแทนแล้ว”

“อืม” สาริศาพยักหน้ารับเช่นกัน เธอไม่รู้จะพูดอะไร และเห็นได้ชัดว่าตอนนี้ธนพัตไม่มีกะจิตกะใจอยากจะพูดคุยกับเธอนัก บรรยากาศระหว่างทั้งสองจมลงในความเงียบอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปสักพัก สาริศาเห็นนางพยาบาลคนหนึ่งเดินไปเดินมาตามโถงทางเดิน สีหน้าท่าทางรีบร้อน ราวกับกำลังหาใครอยู่ เมื่อเห็นเธอหน้าคุ้น ๆ เหมือนจะเป็นนางพยาบาลที่ไปเข้าน้ำเกลือให้กันยาเมื่อครู่นี้ สาริศาจึงลุกขึ้น และแอบคิดว่ากำลังตามหาเธออยู่หรือเปล่า?

หลังจากมองผ่านไปผ่านมาหลายรอบ ในที่สุดพยาบาลก็มองเห็นสาริศา ก่อนจะวิ่งเหยาะ ๆ ตรงเข้ามาทางเธอ “ขอโทษนะคะ คุณใช่ญาติของผู้ป่วยคุณกันยาหรือเปล่าคะ? เมื่อกี้เหมือนฉันจะเห็นคุณ”

“ใช่ค่ะ ฉันเป็นญาติของเธอ” สาริศาพยักหน้าตอบรับ

“ในที่สุดก็หาคุณเจอสักที เมื่อกี้ฉันเดินกลับไปกลับมาตามหาคุณตั้งหลายรอบแล้ว ทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ” น้ำเสียงของพยาบาลออกไปทางบ่นเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นญาติของผู้ป่วยทำไมไม่เฝ้าอยู่ในห้องพักคนไข้ ทำไมถึงปล่อยให้คนไข้ทิ้งไว้ในห้องพักคนเดียว แล้วตัวเองออกมาเดินไปทั่วแบบนี้?

“เมื่อกี้มีเรื่องนิดหน่อย ก็เลยออกมาค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ ต้องรบกวนคุณพยาบาลเลย มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” สาริศาพูดเชิงกล่าวขอโทษ

“คนไข้ฟื้นแล้ว คุณไปดูหน่อยเถอะค่ะ สุขภาพร่างกายไม่มีอะไรร้ายแรง แค่ค่อนข้างอ่อนแอไปนิด แค่พยายามบำรุงร่างกายให้มากขึ้นก็ดีขึ้นแล้วค่ะ แล้วก็ คุณไข้เพิ่งจะทำการผ่าตัดเสร็จ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง ทางที่ดีที่สุดไม่ควรทำให้เธอเหนื่อยจนเกินไป นี่เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลแท้ ๆ ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสุขภาพจะดีขึ้นได้ยังไง? พวกคุณเป็นลูกก็ช่วยระวังด้วยนะคะ และให้ความสำคัญกับคนแก่ให้มาก ๆ ”

เมื่อมองสมุดเวชระเบียนในมือ พยาบาลก็พูดพลางขมวดคิ้วแน่น

เมื่อเห็นกันยาอยู่ในห้องผู้ป่วยคนเดียว พยาบาลจึงคิดไปว่าลูก ๆ ของเธอไม่กตัญญู ไม่ดูแลผู้สูงอายุให้ดี ฉะนั้นน้ำเสียงที่พูดออกมาจึงแฝงด้วยความตำหนิเล็กน้อย

“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปจะระวังให้มาก ขอบคุณในความใส่ใจของคุณพยาบาลมากค่ะ” เมื่อถูกคนอื่นด่าว่าอกตัญญูแบบนี้ สาริศารู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพยาบาลที่ไม่รู้เรื่องอะไร เธอจึงไม่ได้อธิบายอะไรมาก ฉันทำได้แค่รับฟัง และยังคงรักษามารยาทขั้นพื้นฐานเอาไว้

“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงรีบไปดูคนไข้เถอะค่ะ ตอนนี้เธอต้องการคนดูแล” เมื่อเห็นท่าทีของสาริศาที่ยังวางตัวดี พยาบาลจึงไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากกำชับสิ่งที่ต้องระมัดระวังเสร็จก็หันหลังเดินจากไป

“ฉันไปเจอคุณป้าด้วยกันกับเธอดีกว่า” ธนพัตพูดพลางลุกขึ้นยืน

ถึงแม้เขาจะไม่พอใจกับท่าทีที่กันยามีต่อสาริศา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าในใจของสาริศายังคงห่วงใยอดีต “แม่” คนนี้อยู่

“ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองดีกว่า คุณนั่งพักอยู่ตรงนี้เถอะ” เธอรู้ว่าสภาพจิตใจของธนพัตในตอนนี้ไม่ดีนัก สาริศากลั้นใจให้เขาไปเผชิญหน้ากับกันยาด้วยกันกับเธอไม่ได้

เธอสามารถจินตนาการถึงฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับกันยาในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าได้ หัวข้อหลักของการสนทนาคงจะยังวนเวียนอยู่รอบตัวพชิรา เธอแค่คิดก็รู้สึกปวดหัวมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงธนพัตเลย ตอนนี้เขาคงไม่อยากได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับพชิราอีก ไม่ให้เขาไปเพิ่มความรำคาญใจอีกจะดีกว่า

“ฉันไม่เหนื่อย เธอไปคนเดียวฉันไม่วางใจ พวกเราไปด้วยกันเถอะ” ธนพัตพูดพลางเดินตรงไปทางห้องพักผู้ป่วยของกันยา

สาริศาคว้ามือของเขาไว้ พลางรีบหาข้อแก้ตัว “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับหล่อนตามลำพัง”

เขาชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย หลังจากธนพัตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าตอบรับ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปรอเธอที่หน้าประตูโรงพยาบาล พอออกมาแล้วโทรหาฉัน ฉันจะไปส่งเธอกลับบ้าน”

“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้” สาริศาปฏิเสธ ตอนนี้เธอไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของเธอกับธนพัต ดังนั้นจึงควรรักษาระยะห่างไว้ก่อนจะดีกว่า

“ตามนี้แหละ เธอไปเถอะ ฉันจะรอที่หน้าประตู” ธนพัตทำราวกับว่าไม่ได้ยินคำปฏิเสธของสาริศา หลังจากพูดจบเขาก็เดินจากไปทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้สาริศาได้ปฏิเสธเลย

เมื่อมองตามแผ่นหลังของธนพัต สาริศารู้สึกขมขื่นในใจ เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอรู้สึกอยากจะร้องไห้อย่างอธิบายไม่ถูก

เพราะความขี้ขลาด เพราะเหตุบังเอิญ เพราะจงใจอยากจะหลบหลีก...ด้วยเหตุผลต่าง ๆ มากมาย จนสุดท้ายเธอก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับธนพัตเกี่ยวกับเรื่องที่เขาบังคับให้เธอไปทำแท้งในตอนนั้นสักที ถ้าไม่มีความเข้าใจผิด ถ้าเขาทำแบบนั้นจริง แล้วเรื่องระหว่างพวกเขาจะสองคน ควรจะเดินต่อไปทางไหนดีล่ะ?

เพื่อธีร์ เธอควรจะยกโทษให้เขาไหม? หรือว่าเพื่อตัวเอง?

ดูเหมือนเธอจะต้านทานความอ่อนโยนของเขาไม่ไว้ไม่ไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนอย่างเมื่อก่อนที่ค่อย ๆ ตกไปอยู่ในกำมือเขา ที่แตกต่างออกไปก็คือ เมื่อก่อนเป็นความสุข ตอนนี้เป็นความกลัว

เธอถอนหายใจออกมายาว ๆ สาริศากลั้นน้ำตาที่คลออยู่บนเบ้าตาเอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้ ไปดูกันยาที่ห้องก่อนดีกว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ