ธีภพก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เมื่อนึกถึงสาริศาเป็นสามีภรรยากับธนพัตอย่างแท้จริง ทรวงอกของเขาก็เหมือนกับมีเปลวไฟลุกโชน ที่ดับอย่างไรก็ไม่ยอมดับสักที
“ทำไม คุณรู้สึกเสียใจไหม ที่ผมก็เป็นคนของตระกูลกีรติเมธานนท์เช่นกัน อีกทั้งเมื่อเทียบกับคนพิการอย่างธนพัตคนนั้น ผมยังแข็งแแรงกว่า” ภายใต้การชักนำของไฟแห่งโทสะ เขาไม่มีเหตุผล เพียงแค่ต้องการดูถูกธนพัต “พ่อผมบอกว่า ธนพัตหลังจากอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อน ไม่เพียงแต่สูญเสียขาสองข้าง เรื่องอย่างว่าก็เสื่อมไปด้วย สาริศาคุณนี่มันใจกว้างจริง ๆ เลยนะ ผู้ชายแบบนี้คุณก็ไม่ถือสา นี่คุณต้องการเพียงเงินอย่างเดียวใช่ไหม ถึงได้ยอมทำขนาดนี้——”
“ธีภพ คุณนี่แม่ง หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” สาริศาตะโกนขึ้น
เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อธีภพเหยียดหยามตัวเองนั้น เธอยังสามารถรับมืออย่างใจเย็นได้ แต่เมื่อธีภพเหยียดหยามธนพัตนั้น เธอกลับรู้สึกโมโหโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก!
เมื่อคิดถึงธนพัต คิดถึงความสมบูรณ์แบบของชายหนุ่มคนนั้น ทุกครั้งที่นั่งอยู่บนรถเข็น เผยให้เห็นถึงสีหน้าอ้างว้างอย่างไม่ตั้งใจ ฉับพลันสาริศาก็รู้สึกว่าธีภพที่อยู่ตรงหน้านี้ค่อนข้างที่จะน่ารังเกียจ!
เพราะว่ามีคนแบบนี้ในครอบครัว ทำให้ธนพัตต้องปกปิดแสงที่เปล่งประกายในตัว แสร้งเป็นคนพิการมากว่าทศวรรษ
ธีภพคิดไม่ถึงว่าสาริศาจะโมโหขึ้นได้ขนาดนั้น จึงชะงักขึ้น
ขณะที่เขาหยุดชะงักขึ้นนั้น สาริศาไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว
“ธีภพ” เธอกล่าวอย่างเย็นชา “ฉันรู้ว่าคุณไม่สบายใจ เดิมทีฉันคิดว่าฉันกับธนพัตนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ แต่ว่าพวกเราดันเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องระหว่างฉันกับธนพัต คุณไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ส่วนใดของเขาใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ ฉันรู้ดีกว่าคุณ! ”
เมื่อพูดคำเหล่านี้จบ เธอก็ไม่อยากจะเห็นหน้าของธีภพอีก จึงเดินออกไปจากห้องทำงาน แล้วก็กระแทกประตูแรง ๆ
หลังจากที่สาริศาจากไป ธีภพก็อยู่ในห้องทำงานคนเดียว ยืนอย่างเงียบ ๆ ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาถึงรู้สึกตัว
หยิบโทรศัพท์ขึ้น แล้วเห็นชื่อ “ไรยา” ที่อยู่บนหน้าจอ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล
“ฮัลโหล” เขารับโทรศัพท์ขึ้น น้ำเสียงรำคาญ “มีอะไร”
“ภพขา~” เสียงหวานของไรยาดังขึ้นในโทรศัพท์ “คุณยุ่งมากเลยเหรอคะ”
“ก็ไม่เท่าไหร่ คุณมีธุระอะไร”
“ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรค่ะ” ในน้ำเสียงของไรยาซ่อนด้วยความน้อยใจ “เพียงแต่ว่างานแต่งของเราได้กำหนดไว้แล้วไม่ใช่เหรอคะ แต่ทำไมฉันไม่เคยได้เจอคุณปู่ของคุณเลย……อย่างไรท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของตระกูลกีรติเมธานนท์ ฉันควรที่จะไปพบท่านหน่อยหรือเปล่า”
ธีภพเดิมทีอยากจะตอบด้วยความรำคาญว่า “ไว้ค่อยคุย” แต่ฉับพลันเหมือนเขาคิดอะไรขึ้นได้ ดวงตาเป็นประกาย
“คุณพูดถูก” เขาสงบสติอารมณ์ลง “ไม่เพียงแต่เป็นคุณปู่ของผม ยังมีอาและอาสะใภ้ของผม รวมไปถึงคนในบ้านตระกูลกีรติเมธานนท์คนอื่น คุณก็ควรจะไปพบ”
“จริงเหรอคะ” ไรยากล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ “ถ้าอย่างนั้นจะไปเจอกันเมื่อไหร่คะ”
“เร็ว ๆ นี้แหละ” มุมปากของธีภพยกเป็นเส้นโค้งเย็นชา “ผมจะจัดงานเลี้ยงครอบครัวขึ้น จะเชิญชวนทุกคน และทำการแนะนำคุณอย่างเป็นทางการ”
……
เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น สาริศาก็ออกจากห้องทำงานอย่างรีบร้อน
ตอนที่เธอลุกขึ้นนั้น ยังมีคนไม่น้อยที่ซุบซิบอะไรบางอย่างกันอย่างระมัดระวัง สายตานั้นชำเลืองมามองเธอไม่หยุดหย่อน
เรื่อง ธีภพและก็คนเหล่านี้ที่ชอบซุบซิบนินทา สาริศารู้สึกหงุดหงิดในใจ
วันนี้อาการป่วยของคุณแม่ดีขึ้นแล้ว งานนี้ ควรเปลี่ยนได้หรือยัง
สาริศาครุ่นคิดตลอดทาง เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าธนพัตนั้นอยู่ที่บ้านแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็น แต่กลับยืนอยู่ในห้องรับแขก
“คุณกลับมาแล้วเหรอ” ธนพัตกล่าวเบา ๆ
สาริศามองเข้าไปในบ้าน พลางถอดรองเท้าพลางถาม: “ป้าแหวนกับลุงชัยยังไม่กลับมาเหรอคะ”
“ยังเลย ผมให้พวกเขาหยุดลางาน”
“อย่างนั้นฉันจะไปทำอาหารให้คุณนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...