บทที่ 3 : ถูกลักพาตัวไปขาย
หลินลู่ฉีรักษาอาการอยู่ในโรงหมอต่ออีกสองวัน จากนั้นมีคนของทางการมารับตัวนางไป พวกเขาสอบถามถึงที่มาที่ไปของนาง นางจึงบอกพวกเขาว่า ครอบครัวของนางเป็นคนในเมืองหลวง แต่คงพลั้งเผลอลืมนางไว้ระหว่างทาง หากจะส่งนางกลับไปหาครอบครัว ต้องส่งไปยังเมืองหลวง
นั่นเพราะนางรู้ว่า ตระกูลบิดามารดาย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงกันหมด น่าแปลกยิ่งนักที่บุตรหลานของพวกเขาได้รับตำแหน่งในเมืองหลวง เลยต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นทั้งสองตระกูล แม้ว่าจะห่างกันคนละปีก็เถอะ ช่างเป็นเวรเป็นกรรม ตัดกันไม่ขาดจริง ๆ
หลินลู่ฉีรู้เพราะบังเอิญได้ยินนักพรตเฒ่าพูดคุยกับหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือท่านย่าในสายเลือดของนางนั่นเอง พวกเขาคงคิดว่า เด็กน้อยอายุขวบสองขวบที่เล่นเขี่ยดินอยู่ข้าง ๆ คงไม่รู้เรื่องราวอันใด แต่เพราะหลินลู่ฉีที่มาสวมร่างของหยางท่ง กลับสามารถซึมซับทุกเหตุการณ์ ที่หูและตารวมถึงความรู้สึกของเจ้าของร่าง สัมผัสผ่านมาได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่นางรับรู้เพิ่มก็คือ ท่านย่าผู้นี้เป็นคนมอบเงินให้นักพรตเฒ่าในการเลี้ยงดูนาง
เดิมทีนางคิดว่าพวกเขา จะส่งนางไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือไม่ก็ส่งตัวไปยังเมืองหลวง แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้ กลับชั่วร้ายกว่านั้นเ วางยาสลบนางแล้วพาไปขายให้กับพวกค้ามนุษย์ พวกเขาไม่เชื่อคำพูดของเด็กน้อยสามขวบ คิดว่านางคงถูกครอบครัวทิ้งไว้กลางทาง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง
หลินลู่ฉีลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ในรถม้าคันมืด ๆ ด้านข้างมีเด็กอีกสามคนนั่งอยู่ด้วย เด็กชายอายุราวห้าปีสองคนและเด็กสาวอายุราวสิบปีอีกหนึ่งคน แต่ละคนมีท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ดูไปแล้วนางน่าจะอายุน้อยสุดในที่นี้
“น้องสาวเจ้าฟื้นแล้ว” เด็กสาวคนด้านข้างพยุงนางขึ้นมานั่ง แล้วโอบกอดนางเอาไว้ ทั้งที่ตัวของนางเองก็สั่นกลัวไม่ยอมหยุด
“พี่สาวพวกท่านถูกจับมานานหรือยัง”
“ข้าถูกจับมาหลายวันแล้ว พวกเขาก็ด้วยถูกจับมาจากอีกเมือง” เอ่ยแล้วนางก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่สาวอย่าร้อง ๆ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพวกนั้นจะพาพวกเราไปที่ไหน”
“ข้ารู้ ๆ” เด็กผู้ชายผอมเพรียวรีบเอ่ย “ข้าแอบได้ยินพวกมันพูดว่าจะพาไปส่งที่ชายแดน”
“ชายแดน !” เจ้าอ้วนอีกคนร้องไห้หาแม่ทันที
หลินลู่ฉีไม่รู้ว่าชายแดนคือที่ไหน “ชายแดนที่ว่าอยู่ไกลไหม”
“น้องสาวพวกเราไม่รู้เหมือนกัน” เด็กสาวด้านข้างส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
หลินลู่ฉีได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา รถม้ามีหน้าต่างปิดทึบมองไม่เห็นด้านนอก ได้เห็นข้างนอกแค่เวลาต้องพักเพื่อทำธุระข้างทาง ระหว่างนั้นจะมีคนเดินตามไปเฝ้าด้วย ให้หนีอย่างไรก็คงไม่พ้น
ดูไปแล้วไม่ได้มีแค่รถม้าคันที่เด็กนั่งอยู่ ยังมีอีกคันด้านหน้า พวกเขาเป็นเด็กสาวแรกรุ่น แต่ละคนใบหน้างดงามทั้งนั้น ในใจของหลินลู่ฉีรู้สึกไม่สู้ดีนัก คนร้ายมีกันเกือบยี่สิบคนจะหนียังไงพ้น นางก้มลงมองขาของตัวเอง แล้วส่ายหน้าไปมา ดาวมงคลของนางใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างใจนึก คราวคุณชายน้อยผู้นั้น นางมองเห็นไอหมอกได้ชัดเจน แต่กับเด็กที่อยู่ในรถคันเดียวกัน นางกลับมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจออันตรายหรือไม่
เฮ้อ แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน
การเดินทางผ่านไปสิบเอ็ดวัน เด็ก ๆ เหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงไปหมด หลินลู่ฉีสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ระหว่างที่จอดพักทำธุระข้างทาง นางพบเห็นผู้คนมากมายเดินกันตามข้างทาง แต่ละคนสภาพผอมแห้งคล้ายกินไม่อิ่มท้อง
“พี่ใหญ่ไม่ดีแล้ว อีกตั้งสองเมืองกว่าจะถึงชายแดน ถ้ายังเจอผู้ลี้ภัยตลอดทางเช่นนี้อีก ข้าว่ายุ่งยากแล้ว”
“จะยุ่งยากอะไร พวกเรามีกันทั้งยี่สิบกว่าคน มีอาวุธครบมืออีก ใครมันจะกล้ามาบุกรถม้าพวกเรา” คนเป็นหัวหน้าใหญ่ เอ่ยออกมาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
“จริงอย่างพี่ใหญ่ว่า พี่ซ่งท่านก็อย่าได้วิตกเกินกว่าเหตุนักเลย”
“เออ ๆ ข้าคงคิดมากไป ข้าฟังพี่ใหญ่” แม้ในใจของหลี่ซ่งไม่เห็นด้วย เพราะเขาเคยเจอขบวนผู้ลี้ภัยมาก่อน คนพวกนั้นสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อหัวหน้าของเขาไม่กลัว ลูกน้องอย่างเขาก็ต้องทำตาม

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี