บทที่ 4 : แบ่งให้ข้าคนละคำก็พอแล้วเจ้าค่ะ
“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านแม่ นางยังมีลมหายใจอยู่เลย ข้าไม่อาจทิ้งนางได้ ท่านแม่มองดูสิเจ้าคะ แถวนี้มีคนดี ๆ ที่ไหนกันหากปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้ คงถูกสัตว์ร้ายทำอันตรายเอาได้”
สัตว์ร้ายไม่เท่าไรหรอก เกรงแต่มนุษย์ด้วยกันนี่แหละที่จะทำร้ายกันเอง นางเคยได้ยินเรื่องผู้ลี้ภัยหิวโหย ถึงขึ้นกินเนื้อเด็กทารกแรกเกิดด้วยซ้ำ
“นังคนอกตัญญู ลูกตัวเองจะอดข้าวตายอยู่แล้วยังไม่สำนึก เกิดอยากเป็นคนใจดี เหตุใดข้าถึงได้แต่งสะใภ้เบาปัญญาเช่นนี้เข้าบ้าน สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับข้านัก”
นางเจียงร่ำร้องคล้ายคนถูกกระทำอย่างโหดร้าย หากไม่ติดว่ากำลังลี้ภัยอยู่ นางคงลงไปนั่งตบตีต้นขาอยู่บนพื้นแล้ว
ฉินซื่อเริ่มทำตัวไม่ถูก “ท่านแม่ข้าไม่ได้..”
นางเจียงชี้นิ้วใส่นาง “เจ้าหุบปาก หากเจ้ายังไม่ทิ้งเด็กนั่นไปอีก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่ !”
ฉินซื่ออุ้มเด็กเดินไปหลบอยู่ข้างหลังของสามี ด้านข้างมีบุตรชายกับบุตรสาวยืนอยู่ พวกเขาเหมือนกำลังตกใจกับคำด่าทอของผู้เป็นย่า แต่กระนั้นฉินซื่อก็ส่งสายตาให้สามี ว่านางไม่สามารถปล่อยเด็กให้ตายอยู่ข้างทางได้
“พี่ชางข้าทำไม่ได้จริง ๆ”
เพราะตัวนางก็เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเหมือนกัน จึงรู้สึกสงสารเด็กน้อยที่มีชะตากรรมเดียวกับตัวเองเช่นในอดีต
ผู้เป็นสามีมองดูหน้าเด็กน้อยแล้วถอนลมหายใจเบา ๆ เขาตบปลอบหลังมือภรรยา
“ท่านแม่ถือว่าข้าขอร้อง ให้เด็กคนนี้ร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วยเถอะขอรับ”
หวงชางคุกเข่าลงให้มารดา เขาย่อมรู้พื้นเพของภรรยาเป็นอย่างดี อีกทั้งเด็กน้อยผู้นี้ก็ไม่สมควร ถูกทิ้งให้นอนตายอยู่ข้างทางจริง ๆ
“เจ้าลูกเนรคุณ ! เจ้าไม่ฟังคำแม่อย่างข้าแล้วรึ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตายเสีย !” นางเจียงถลาเข้าไปตบตีบุตรชายด้วยความโกรธ
“เจ้าใหญ่ไปห้ามแม่เจ้าที” หวงจงทนดูต่อไปไม่ไหวหันไปทางบุตรชายคนโต
“ท่านแม่หากบ้านน้องสามอยากดูแลเด็กนั่น ก็ปล่อยเถอะขอรับ ขอเพียงแค่ไม่มาแบ่งเสบียงจากพวกเรา ไปให้เด็กนั่นเป็นพอ”
หวงจื้อเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหวง เขาเห็นว่าหากชักช้ากว่านี้จะหาที่พักคืนนี้ไม่ได้ จึงได้เร่งให้ทุกคนออกเดินทางต่อ
ได้ยินคำพูดของบุตรชายคนโตแล้ว นางเจียงจำต้องหยุดโวยวาย แต่ยังไม่ลืมจ้องบ้านสามด้วยความชิงชัง
“จริงของพี่ใหญ่นะท่านแม่ หากน้องสามอยากมีภาระเพิ่ม ก็ต้องรับผิดชอบกันเอาเอง ห้ามมาเบียดเบียนเสบียงของส่วนกลางเด็ดขาด”
“ใช่ ๆ” เสียงคนอื่น ๆ เห็นด้วยกับหวงเต๋อบุตรชายของรองของบ้าน เรื่องอื่นพวกเขาไม่ยุ่งได้ แต่เรื่องเสบียงอาหารนั้นต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองเอาไว้
“ได้ ๆ พวกข้าจะไม่เบียดเบียนเสบียงส่วนกลางแน่นอน” ฉินซื่อรีบตอบรับด้วยเกรงว่าพวกเขาจะเปลี่ยนใจ
“จำคำของเจ้าเอาไว้ให้ดี ๆ ล่ะสะใภ้สาม”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
คนอื่นในครอบครัวต่างเดินทางกันต่อ เหลือเพียงบ้านสามที่กำลังป้อนน้ำให้เด็กน้อยอยู่ พร้อมกับใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดหน้าให้อย่างเบามือ
หวงชางเป็นคนอุ้มหลินลู่ฉีขึ้นหลัง หาผ้ามามัดเอาไว้ไม่ให้นางเป็นอันตรายระหว่างเดินทาง ส่วนฉินซื่ออุ้มหวงจื่อเหยาบุตรสาวในวัยสี่ปี บุตรชายหวงจื่อถงอายุหกปีแล้ว เขาสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง
เดินทางกันต่อจนพระอาทิตย์ตกดิน จึงได้เจอวัดร้างแห่งหนึ่ง พวกเขาพากันพักค้างคืนที่นี่ เดิมทีทุกคนลี้ภัยมาจากหมู่บ้านจินเซ่ออำเภอชุ่นในเมืองหลี แต่ตระกูลหวงกลับขอแยกทางกับคนในหมู่บ้าน เพราะมีเป้าหมายจะไปหาญาติที่อยู่อำเภอหยางในเมืองลี่หยาง
นางเจียงเห็นว่าหมู่บ้านจินเซ่อ ไม่อาจพลิกผืนดินให้ปลูกพืชพันธุ์ได้อีก จึงไม่คิดกลับไปอดตายกันที่นั่น นางหารือกับสามี และเลือกไปขอความช่วยเหลือจากญาติของนางที่อำเภอหยางแทน
ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนเอาแรง สะใภ้ทั้งสามเตรียมเสบียงออกมาทำข้าวต้มให้ครอบครัวได้กินกัน ยามนี้ที่หลินลู่ฉีได้ตื่นขึ้นมา ตอนอยู่บนหลังของหวงชางนั้น นางถึงกับหลับสนิทจริง ๆ
“น้องสาว” หวงจื่อเหยาจิ้มแก้มนางเบา ๆ
“น้องสาวตื่นแล้ว” หวงจื่อถงไม่กล้าแตะเนื้อตัวนาง เขาทำเพียงแค่ก้ม ๆ มอง ๆ ด้วยความสงสัย
“พี่ชายน้องสาวเป็นใบ้”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี