บทที่ 5 : พี่ชายเจ็บหรือไม่
กระนั้นวาจาถากถางจากนางเจียง ก็ยังลอยมาตามสายลม คำว่าตัวอัปมงคล ตัวกินล้างกินผลาญ ด่าลามไปถึงครอบครัวของหวงชางทุกคน ด่าจนหลินลู่ฉีรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาไม่มากก็น้อย
นางเจียงกับหวงจงนั้นแม้จะเป็นปู่ย่าคนแล้ว แต่อายุเพียงแค่สี่สิบปลาย ๆ เท่านั้น บุตรชายทั้งสามคนอายุยังไม่ถึงสามสิบสักคน บุตรสาวเพียงคนเดียวนั้นน่าจะเพิ่งผ่านวัยปักปิ่นมา
หลินลู่ฉีรู้ว่าคนอื่นไม่ยินดี ที่หวงชางกับฉินซื่อให้นางร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างทางจึงได้ยินวาจาเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นกระทั่งหลาน ๆ ของพวกเขาเอง ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องวิ่งมากลั่นแกล้งนางอยู่เรื่อย ดีที่หวงจื่อถงอยู่ข้างกาย เขาคอยตะโกนบอกบิดามารดาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดปากเสียงกันอยู่ร่ำไป กระทั่งลงไม้ลงมือกันก็มี
“นังตัวซวยพวกเจ้าเห็นหรือยัง พอมีนางเข้ามาหลาน ๆ ของข้าก็ตีกันเสียแล้ว”
นางเจียงลูบหลังปลอบหลานชายสุดที่รักของตน หวงชุนฟงคือบุตรชายคนโต ที่เกิดจากหวงจื้อกับจ้าวซื่อ
“ท่านแม่ฟงเอ๋อร์อายุเท่าไรแล้ว ยังมารังแกฉีฉีของพวกเรา นางก็แค่เด็กสองสามขวบเองนะเจ้าคะ”
ฉินซื่อไม่ยินยอม เห็นอยู่ว่าเด็กโตรังแกเด็กเล็ก เหตุใดแม่สามีถึงได้กลับดำเป็นขาวได้ นางดึงตัวหลินลู่ฉีไปหลบอยู่ด้านหลัง
นางเจียงถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ “นังเด็กนอกคอกนั่นมันเป็นบรรพบุรุษของเจ้ารึสะใภ้สาม ถึงได้เห็นมันดีกว่าหลานในไส้ของตัวเอง”
“ท่านแม่ฟงเอ๋อร์ผลักถงเอ๋อร์ของพวกเราก่อนนะขอรับ” หวงชางรับรู้มาตลอดว่ามารดา รักใคร่หลานชายจากบ้านใหญ่มากกว่าบุตรชายของตน ในใจขมฝาดอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าสาม !”
“ยายเฒ่า ! เจ้าดูสถานการณ์รอบ ๆ ตัวก่อน แหกตาดูเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เอะอะโวยวายเหมือนคนบ้า” เพราะความเคร่งเครียดจากการเดินทาง ทำให้หวงจงอดด่าทอคู่ชีวิตไม่ได้
นางเจียงรีบมองไปรอบ ๆ ที่พักเหนื่อยยามเที่ยงของวัน นางพบเห็นว่ามีผู้ลี้ภัยมากหน้าหลายตา ต่างเฝ้ามองมายังครอบครัวของนาง สายตาเหมือนอยากเข้ามาแย่งชิงเสบียง ที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น พลันตื่นตระหนกในทันที
คนในครอบครัวต่างหันไปมองรอบ ๆ ตัวเอง พบว่าบรรยากาศแปลกไป ดูเงียบวังเวงเหมือนผู้ลี้ภัยเหล่านั้น รอฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่
ความเงียบงันเช่นนี้ไม่ดีนักเชียว เหมือนคนกำลังวางแผนร้ายสุ่มโจมตีอยู่ ผู้ใหญ่ในครอบครัวขนลุกกับสายตาของผู้ลี้ภัยรอบข้าง ต่างกุมมือบุตรหลานของตนเองเอาไว้แน่น
“ตาเฒ่าพวกเราไปเก็บผักป่ากันเถอะ เผื่อค่ำคืนนี้จะได้มีอาหารตกถึงท้องบ้าง ไป ๆ”
นางเจียงตะโกนเสียงดัง ๆ หมายให้คนอื่นได้รู้ ว่าครอบครัวของนางก็ไม่มีอาหารแล้วเหมือนกัน
“พวกเราก็ไปเก็บเห็ดป่ากันเถอะ เผื่อโชคดีคืนนี้จะได้ไม่หิวโหยอีกต่อไป”
หวงชางเข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาตะโกนเสียงดังขึ้นบ้าง พลางดึงมือภรรยากับเด็ก ๆ เดินหลบเข้าไปในป่าด้านข้าง ไม่อยู่บนท้องถนนอีกต่อไป
เมื่อคนในครอบครัวเห็นดังนั้น ต่างพากันเดินตามหลังพวกเขาเข้าป่าไป เมื่อรู้สึกว่าห่างจากถนนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็หยุดนั่ง หารือกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
แม้เจตนาของพวกเขาต้องการปิดบัง แต่ความจริงแล้วนั่นเหมือนเป็นการเปิดเผยความจริงมากกว่า หลินลู่ฉีลอบถอนหายใจเบา ๆ หากผู้ลี้ภัยคนอื่นฉลาดเสียหน่อย เกรงว่าจะรู้ว่าพวกเขากำลังหาทางปกปิดความจริงอยู่
“เกือบไปแล้ว”
หวงจงส่ายหน้าให้ทุกคน เมื่อครู่พวกเขาราวกับวิ่งหนีโจรผู้ร้ายมาก็ไม่ปาน สภาพเหงื่อแตกหน้าซีดเซียวกันหมด
“สายตาพวกนั้นดูเหมือนอยากเข้ามาแย่งห่อผ้าของพวกเราก็ไม่ปาน”
หลินซื่อชื่อเดิมคือหลินหรานเป็นสะใภ้รองของบ้าน สามีของนางคือหวงเต๋อ ทั้งคู่มีบุตรสาวด้วยกันสองคน หวงหลันฮวาอายุเจ็ดปี หวงหนิงเอ๋อร์อายุสี่ปี
บ้านใหญ่นั้นมีบุตรชายทั้งสองของพวกเขา ได้เรียนหนังสือด้วยกันทั้งคู่ แม้ยากจนเพียงใดหวงจงก็ยังอยากให้คนในตระกูล ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตมีความรู้ ดังนั้นหลานชายทั้งสองจากบ้านใหญ่ จึงเปรียบเสมือนความหวังของครอบครัว
ขณะที่หวงไป๋หลานบุตรสาววัยปักปิ่นของนางเจียงกับหวงจง อยู่ในวัยสามารถออกเรือนได้แล้ว หากไม่เกิดเรื่องภัยแล้งกับการจลาจลขึ้นเสียก่อน พวกเขาคงให้แม่สื่อไปหาคู่หมั้นหมายที่ดีให้นาง หวงไป๋หลานนั้นหน้าตางดงามที่สุดในหมู่บ้าน มีหรือจะหาคู่ครองที่ดีไม่ได้ นางเจียงแทบไม่ให้นางหยิบจับอะไร เพราะต้องการสินสอดมากพอ ที่จะจุนเจือหลานชายทั้งสองให้เล่าเรียนจนจบได้
ทั้งหมดหาที่โล่งใต้ต้นไม้เพื่อค้างแรมกันคืนนี้ โดยให้แบ่งเวลาในการเฝ้ายามกัน หลินลู่ฉีรู้สึกไม่สู้ดีนัก ยามใดที่นางเกิดความกระวนกระวายใจเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้น หวงจื่อเหยานอนกอดฉินซื่อ ถัดไปก็เป็นหลินลู่ฉี ส่วนหวงจื่อถงนอนด้านข้างกับหวงชางผู้เป็นบิดา
ยามโฉ่ว(01.00-02.59)
เป็นเวรเฝ้ายามของหวงจื้อ ทว่าเขาเผลอหลับสนิทเพราะความเหนื่อยล้า มีเงาคนย่องเบาเข้ามาจากที่ไกล ๆ หลินลู่ฉีลืมตาขึ้นในความมืด นางสะกิดฉินซื่อเบา ๆ
“ฉีฉีมีอะไร” ฉินซื่องัวเงียขึ้นมาถาม “เจ้าปวดเบารึ”
“ท่านป้าข้าเหมือนได้ยินเสียงคน” นางเอ่ยเสียงค่อย
ฉินซื่อผลุนผลันลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ นางขยับเข้าไปสะกิดบอกสามี แม้ตัวเองไม่ได้ยินเสียงคนที่ว่าก็ตาม แต่ต้องป้องกันอันตรายไว้ก่อน
“พี่ชางเหมือนฉีฉีจะได้ยินเสียงคน” นางกระซิบบอกเขาเบา ๆ
หวงชางรีบลุกขึ้นมาพร้อมปลุกบุตรชายให้ลุกขึ้นด้วยเสียงที่เบาที่สุด “เจ้ากับลูก ๆ รออยู่นี่ก่อน ข้าจะไปดูพี่ใหญ่”
บอกแล้วก็รีบย่องเดินไปหาพี่ชายที่เฝ้ายามอยู่ พบว่าอีกฝ่ายนั้นคอพับนอนหลับไปแล้วจริง ๆ เสียงคนเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากที่ไกล ๆ หวงชางรีบปลุกพี่ชาย แล้วพากันกลับไปยังที่พักแรมของทุกคน
“อาอี้เจ้ารีบไปปลุกทุกคนให้ตื่นเร็วเข้า มีคนมุ่งหน้ามาทางเราจริง ๆ” เสียงกระซิบกระซาบของพวกเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นตามไปด้วย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี