บทที่ 8 : เจียงชุน
หลินลู่ฉีทนสังขารของเด็กสามขวบไม่ไหว นางหลับบนหลังของหวงชางไปตลอดเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็ถึงหน้าเรือนของท่านยายเจียงแล้ว แม้จะอยู่ในชนบทแต่เรือนของท่านยายเจียงกลับสร้างด้วยอิฐ ซึ่งแตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน ที่ส่วนใหญ่สร้างด้วยดิน หมู่บ้านหยางฮัวมีคนสร้างบ้านด้วยอิฐเพียงสองหลังเท่านั้น คือของผู้ใหญ่บ้านกับท่านยายเจียง
หลินลู่ฉีมองสำรวจด้วยสายตาคร่าว ๆ หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ด้านหน้าภูเขา มีราวห้าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น คงมีชาวบ้านราว ๆ สองร้อยกว่าคน ท่านยายเจียงแลดูจะตกใจ กับจำนวนลูกหลานเหลนที่มาพึ่งพาเกือบยี่สิบคน ทว่าท่านกลับให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
“ท่านน้าข้าลี้ภัยมาพึ่งใบบุญของท่าน ไม่คิดว่าจะถูกตระกูลหม่า ขับไล่ออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้”
นางเจียงร้องห่มร้องไห้ เล่าเรื่องที่หน้าประตูใหญ่ของตระกูลหม่าให้ฟังอีกด้วย “ที่บ้านพวกข้าดินแห้งแล้ง เพาะปลูกไม่ได้มาสองสามปีแล้ว มาปีนี้หนักสุด เก็บเกี่ยวไม่ได้เลย ข้าจำต้องหอบลูกหลานมาหาท่านในวันนี้”
นางเจียงคร่ำครวญถึงชีวิตที่ยากลำบาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ถึงที่สุดคนตระกูลหวง คงไม่ลี้ภัยหนีกันทั้งหมู่บ้าน
“เอาล่ะ ๆ เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลยอาเหมย น้าของเจ้าไม่ได้มีทรัพย์สินติดตัวออกมา บ้านใหญ่วางแผนไม่เหลือทางเดินให้ข้า โชคดีแค่ไหนที่เครื่องประดับติดกายยังมีราคา ให้พอขายมาซื้อที่ดินปลูกบ้านได้”
ท่านยายเจียงลูบหลังปลอบหลานสาวของตนไป ทว่าไม่อาจซ่อนแววตาหนักใจเอาไว้ได้
“ท่านน้า นี่สามีข้าหวงจง นั่นหลาน ๆ ของท่าน ลูกชายคนโตของข้า หวงจื้อ คนรองหวงเต๋อ หวงชางและลูกสาวคนเดียวของข้าหวงไป๋หลาน”
คนที่ถูกเรียกชื่อรีบเข้ามาคารวะท่านยายเจียง จากนั้นก็เป็นบรรดาลูกสะใภ้แล้วก็เด็กในตระกูล
“คำนับท่านยาย /ท่านยายทวด ” พวกเขาทักทายอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ส่วนเด็กนั่นนอนสลบอยู่ข้างทาง เจ้าสามกับเมียไม่เจียมตัว ไปเก็บมาให้เป็นภาระ ท่านน้าไม่ต้องรู้จักนางหรอก” นางเจียงยังเคืองคนบ้านสาม จึงพูดไม่ดีใส่พวกเขาไป
ท่านยายเจียงทำเพียงพยักหน้าไม่เอ่ยคำใด หันไปทางหลานสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นี่คือหม่าซูเหวินหลานสาวคนเดียวของข้า”
หม่าซูเหวินอยู่ในวัยปักปิ่นเช่นเดียวกับหวงไป๋หลาน นางก้าวออกมาทำความเคารพทุกคนอย่างรู้ความ การนับญาติค่อนข้างลำบากเล็กน้อย นางจึงไม่เอ่ยชื่อใครออกมา ทำเพียงคำนับส่วนรวมเท่านั้น
“เหวินเอ๋อร์เจ้าไปเตรียมอาหารให้ทุกคนก่อน”
“เจ้าค่ะท่านย่า”
“ท่านแม่ข้าไปช่วยน้องซูเหวินทำกับข้าวนะเจ้าคะ” ฉินซื่อเห็นว่าคนเยอะขนาดนี้ อีกฝ่ายทำคนเดียวจะไปพออะไร จึงได้อาสา
“ไปเถอะ” นางเจียงปัดมือไม่ใส่ใจ ส่วนสะใภ้คนอื่นกลับนิ่งเฉย
ท่านยายเจียงนิ่วหน้าเล็กน้อย ทว่าไม่เอยคำพูดใดออกมา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า
“เด็ก ๆ ไปวิ่งเล่นหน้าบ้านก่อนดีไหม”
“ท่านยายทวดพวกข้าเดินมาตลอดทางเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ขอห้องนอนพักก่อนได้ไหมขอรับ” หวงชุนฟงถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ได้รู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย
“ฟงเอ๋อร์นี่ไม่ใช่บ้านของเรา ขออภัยด้วยท่านน้าด้วย เขาไม่รู้ความจริง ๆ” หวงจงขายหน้ายิ่งนัก
“ข้าพูดความจริงนี่” หวงชุนฟงกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ท่านยายเจียงคลึงถ้วยชาเบา ๆ ในใจนิ่งลึกยากจะหยั่งถึงได้
“ท่านน้าเจ้าคะ” นางเจียงเห็นผู้เป็นน้านิ่งเงียบไปนาน จึงได้เอ่ยเรียก
“ไม่เป็นไร ๆ ข้าไม่ถือสาหาความเด็ก อย่างที่พวกเจ้าเห็นเรือนข้าอยู่กันสองคน มีห้องว่างอีกสองห้องเท่านั้น พวกเจ้ามีกัน” นางหยุดเอ่ยแล้วนับนิ้วไปด้วย “หากนับไม่ผิดสิบเจ็ดคนเห็นจะได้”
“เดิมทีสิบหกคนเจ้าค่ะ นั่งเด็กนอกคอกนั่น ท่านน้าไม่ต้องนับรวม”
หวงจื่อถงกับน้องสาวขยับเข้าไปโอบกอดหลินลู่ฉีหลังได้ยิน สายตาพวกเขาสองพี่น้อง ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นย่า ฉีฉีของพวกเขาน่ารักจะตายไป เหตุใดถึงไม่นับรวมเล่า
หลินลู่ฉีซาบซึ้งน้ำตาแทบไหล เหตุใดเด็กน้อยสองคนนี้ ถึงได้น่ารักนักเล่า ฝ่ามืออบอุ่นของหวงชางกับภรรยา วางทาบลงบนศีรษะของนางพร้อมกัน
ข้าน้ำตาจะไหลอยู่แล้วนี่

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี