ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 749

เหลียนชิงโจวนำไข่จระเข้ที่ยังไม่ฟักฟองหนึ่งกลับมาให้ซูเซี่ยนเมื่อเขากลับมาจากเจียงหนาน

เห็นได้ชัดว่าซูเซี่ยนชอบมันมาก ทุกวันเมื่อมีเวลาว่าง เขาจะคอยเฝ้าดูไข่จระเข้ฟองนั้นและรอวันที่มันจะกะเทาะเปลือกออกมา

หลังจากนั้นในวันหนึ่งที่อากาศสดใส ไข่จระเข้ก็เริ่มแตกร้าวและมีจระเข้ตัวน้อยเจาะเปลือกไข่ออกมา ซูเซี่ยนชื่นชอบจระเข้มาโดยตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อให้จระเข้น้อยตัวนั้นและทุ่มเทเลี้ยงดูมันอย่างดี

ดูจากความดูแลเอาใจใส่ของซูเซี่ยน อย่าว่าแต่จระเข้เลย ถ้าให้เขาดูแลทารกสักคน ไม่แน่เขาก็อาจจะเลี้ยงดูได้จนเติบใหญ่

ตั้งแต่ตอนที่เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เกลี้ยกล่อมให้เฉินเสียนมีองค์ชายเพิ่ม ซูเซี่ยนยังเคยช่วยพูดปลอบโยนเฉินเสียนอย่างเข้าใจว่า “หากมีน้องเพิ่มแล้วท่านแม่กับท่านพ่อไม่มีเวลาเลี้ยง จะมอบให้ข้าช่วยดูแลเขาจนเติบใหญ่ก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

ตอนนี้ไม่ว่าซูเซี่ยนไปไหน เขาจะมีจระเข้ตัวน้อยอยู่ข้างกายเสมอ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ช่วยปลอบใจเขาอย่างหนึ่ง

เมื่อมีเวลาว่าง เฉินเสียนกับซูเจ๋อจึงออกจากวังไปด้วยกันเพราะนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้กลับไปที่จวนหลังเก่าของซูเจ๋อนานแล้ว เธอตั้งใจว่าจะพาซูเจ๋อกลับไปที่นั่นเผื่อว่าเขาจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง

เฉินเสียนคิดว่าขลุ่ยไม้ไผ่ที่ซูเจ๋อเคยมอบให้เธอนั้นเก่ามากแล้วทั้งยังมีรอยกระดำกระด่าง เธอทำใจสวมขลุ่ยนั้นติดตัวไว้ไม่ได้ ที่จวนของซูเจ๋อมีสวนไผ่อยู่ที่ด้านหลัง ดังนั้นเธอจึงวางแผนว่าจะใช้ปล้องไม้ไผ่แกะสลักขลุ่ยขึ้นมาอีกหนึ่งเลา

ทั้งสองคนสะบัดชายเสื้อและนั่งลงในสวนไผ่ สายลมพัดโชยมาและก่อให้เกิดเสียงดังสวบสาบขึ้นในสวนนั้น

ทั้งคู่ค่อนข้างปล่อยตัวตามสบายไม่รีบร้อน หักลำไม้ไผ่และใช้มีดแกะสลักสลักลวดลายลงบนปล้องไม้ไผ่นั้น

เฉินเสียนแกะสลักพลางเล่าเรื่องเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ซูเจ๋อมอบขลุ่ยไม้ไผ่ให้เธอให้ซูเจ๋อฟัง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และมุมปากก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

ปล้องไม้ไผ่ในมือกลมกลึงและหลุดลื่นออกจากมือได้ง่ายถ้าไม่ใส่ใจ ดังนั้นเฉินเสียนจึงแกะสลักออกมาไม่ค่อยดีนัก

อาภรณ์สีดำของซูเจ๋อระอยู่บนพื้น เส้นผมสีดำดูประหนึ่งหมึกเข้ม เขาหมุนปล้องไม้ไผ่ในมือและใช้มืออีกข้างจับมีดแกะสลัก สลักลวดลายลงไปอย่างพิถีพิถันและคล่องแคล่ว

ราวกับว่าย้อนเวลากลับไปในปีนั้น เขานั่งอยู่ในสวนไผ่และมอบขลุ่ยไม้ไผ่อันประณีตงดงามให้แก่เธอ ต่างกันที่ในเวลานั้นเขาอยู่ตัวคนเดียว ทว่าในเวลานี้เขามีเธออยู่เคียงข้าง

ริมฝีปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย เขาหลุบตาลงและจดจ่ออยู่ที่มือ พร้อมกันนั้นเอ่ยกับเฉินเสียนอย่างแผ่วเบาว่า “ไม้ไผ่ไม่ได้เรียบเสมอกันทั้งลำ ต้องเปลืองแรงไม่ใช่น้อยในการแกะสลักลวดลาย ระวังอย่าให้บาดมือละ”

เฉินเสียนเอ่ยว่า “อย่าดูถูกข้านักเลย ถ้าอย่างนั้นข้าแกะให้ท่านพกติดตัว ส่วนท่านแกะให้ข้าพกติดตัว แบบนี้ดีหรือไม่”

ซูเจ๋อตอบไปว่า “ได้สิ”

บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่ถูกปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่มีคนดูแล ต้นไผ่จึงเติบโตขึ้นอย่างหยาบๆ ตามธรรมชาติ ทั้งยังมีสัตว์บางชนิดที่ชอบมาอาศัยอยู่ในสวนไผ่แห่งนี้

ทันใดนั้นงูเขียวตัวหนึ่งก็เลื้อยวนมาตามต้นไผ่ มันขดตัวไปมาพลางแลบลิ้นยาวๆ ขณะที่ค่อยๆ เลื้อยเข้าไปใกล้เฉินเสียน

ลำตัวของมันแทบจะกลืนไปกับสีของไม้ไผ่ ถ้าไม่ใช่เพราะมันแลบลิ้นสีแดงสดออกมาก็คงมองไม่เห็น

ซูเจ๋อหรี่ตาลงเล็กน้อยและเพ่งมองจากทางหางตา ทันใดนั้นมีดแกะสลักในมือก็ชะงัก

เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง สายลมที่พัดโชยเข้ามาทำให้ต้นไผ่ทั้งสวนไหวเอนจนเกิดเสียงดังสวบสาบไม่รู้จบ ขณะที่งูเขียวตัวนั้นกำลังเลื้อยเข้ามาใกล้เฉินเสียนอย่างย่ามใจ ซูเจ๋อก็ขยับมือและใช้นิ้วบิดมีดแกะสลัก เล็งไปที่งูตัวนั้นและปามีดปักไปที่งูเขียวซึ่งยาวเจ็ดนิ้วอย่างแม่นยำ

เป็นผลให้เมื่อเฉินเสียนหันมามองขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของซูเจ๋อ เธอจึงเห็นว่าเขาเพิ่งจะแกะสลักไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทว่าลวดลายที่แกะสลักลงไปดูไม่ต่างอะไรจากขลุ่ยไม้ไผ่ที่เขาทำขึ้นมาในตอนนั้นเลย

เฉินเสียนถามว่า “มีดแกะสลักของท่านล่ะ หายไปไหนแล้ว”

ซูเจ๋อมองหาบนพื้นอย่างจริงจังพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ยังอยู่นี่อยู่เลย ละสายตาแค่ครู่เดียวก็หาไม่เจอเสียแล้ว”

“เมื่อครู่ลมพัดแรง อาจจะถูกใบไผ่คลุมจนมองไม่เห็นก็ได้ ท่านระวังอย่าไปเหยียบหรือนั่งทับเข้าละ”

หลังจากนั้นเฉินเสียนจึงยื่นมีดแกะสลักของเธอให้เขา เขาจึงทำส่วนที่เหลือจนเสร็จ ขลุ่ยไม้ไผ่ชิ้นใหม่เอี่ยมมีหน้าตาเหมือนขลุ่ยเลาเดิมทุกประการ มันก็กลับมาวางอยู่ในมือของเฉินเสียนอีกครั้ง และบนพื้นผิวยังคงสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากสัมผัสของซูเจ๋อ

ขณะที่กำลังจะออกไปจากสวนไผ่เฉินเสียนก็เหลือบไปเห็นต้นไผ่ข้างหลัง บนไผ่ต้นนั้นมีงูเขียวขดตัวเป็นลูกกลมๆ ด้วยท่าทางเจ็บปวดโดยมีมีดแกะสลักของซูเจ๋อปักอยู่บนลำตัวของมัน

เฉินเสียนหรี่ตาทว่าไม่ได้พูดอะไร

หลังจากกลับไปแล้วเฉินเสียนมักจะเฝ้ามองซูเจ๋ออยู่บ่อยๆ ภายในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความรักที่ไม่เคยลดน้อยถอยลง ทั้งยังเพิ่มพูนไปด้วยความลึกซึ้ง

ซูเจ๋อถามว่า “กำลังมองอะไรหรือ”

เฉินเสียนฉีกยิ้มและตอบไปว่า “ข้าพบว่าท่านยังคงเป็นเหมือนแต่ก่อนและไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย บางครั้งท่านก็ร้ายมาก แต่กลับทำให้คนโกรธท่านไม่ลง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี