ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 750

ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยังคงชอบกอดเขาแบบนี้ โอบแขนไว้รอบเอวของเขาและดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาที่เงียบสงบ

ทว่าวันนี้มีบางอย่างแตกต่างออกไป เฉินเสียนเอื้อมมือไปที่ลายฉลุบนหน้าต่างด้านหลังซูเจ๋อ เปิดกล่องผ้าไหมออกและขยับมือข้างหนึ่งมาจับมือของซูเจ๋อไว้อย่างเงียบๆ จากนั้นจึงผละออกมาจากอ้อมกอดของเขาและยืดตัวขึ้น ขณะที่ซูเจ๋อหลุบตาลงมองความเคลื่อนไหวของเธอ เฉินเสียนก็หยิบแหวนทองคำซึ่งมีอัญมณีสีแดงประดับอยู่บนหัวแหวนขึ้นมา จากนั้นจึงสวมลงไปบนนิ้วนางของเขา

ไม่แปลกใจเลยที่ระยะหลังมานี้เธอมักจะชื่นชมมือของเขาอยู่บ่อยๆ ทั้งหมดก็เพื่อวัดขนาดนั่นเอง... และแหวนวงนั้นก็สวมลงไปบนนิ้วนางของเขาได้อย่างพอดิบพอดี

แหวนสีทองอร่ามเหมาะกันดีกับนิ้วที่งดงามจนแทบจะไร้ที่ติของเขา ขับให้นิ้วที่เรียวยาวได้สัดส่วนและขาวสะอาดราวกับหยกยิ่งดูโดดเด่นประหนึ่งประติมากรรมอันสมบูรณ์แบบ

ซูเจ๋อก้มลงมองด้วยสีหน้าชะงักงันซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก

เฉินเสียนเอ่ยกับเขาเบาๆ ว่า “นี่คือแหวนคู่ของชายหญิง เมื่อสวมแล้วจะถอดออกไม่ได้ มีเพียงสามีภรรยาที่แต่งงานแล้วเท่านั้นจึงจะสวมแหวนคู่เช่นนี้ ต่อไปถ้าใครๆ เห็นท่านกับข้าสวมแหวนคู่กัน พวกเขาจะรู้ว่าท่านคือผู้ชายของข้า”

ซูเจ๋อฟังแล้วรู้สึกว่าดี จากนั้นจึงหยิบแหวนวงเล็กอีกวงหนึ่งขึ้นมาและบรรจงสวมลงไปบนนิ้วนางของเฉินเสียน เสร็จแล้วจึงถามว่า “แบบนี้ใช่หรือไม่”

เฉินเสียนยิ้มตาหยี เธอยกมือขึ้นมาและจับมือเขาไว้ ประสานนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกันจนเผยให้เห็นแหวนทองซึ่งเปล่งประกายงดงามอยู่บนนิ้วนางของพวกเขาทั้งคู่

เธอตอบว่า “แบบนี้ละ”

ซูเจ๋อมองแหวนบนนิ้วของตนเองด้วยสีหน้าที่คล้ายไม่แน่ใจนัก และแล้วก็อดนึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาไม่ได้

หลายปีก่อนหน้านั้น ตอนที่เฉินเสียนยังเป็นองค์หญิงจิ้งเสียนและเป็นภรรยาในนามของแม่ทัพใหญ่ ตั้งแต่เธอกลับไปที่จวนของแม่ทัพอีกครั้งและก่อเรื่องในงานแต่งงานของแม่ทัพฉินกับอนุภรรยา นิสัยของเธอก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

แม้ว่าซูเจ๋อจะไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอในวันนั้น แต่ในมุมที่เธอมองไม่เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏชัดเจนอยู่ในสายตาของเขา

ต่อมาเมื่อเธอตั้งครรภ์และต้องเผชิญกับความไม่สะดวกสบายต่างๆ ซูเจ๋อจึงขอให้เหลียนชิงโจวไปเยี่ยมเธอและมักจะนำสิ่งของต่างๆ ไปให้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะวาดหนังสือภาพคนตัวน้อยและขอให้เหลียนชิงโจวนำไปขาย

ซูเจ๋อได้รับภาพร่างปึกนั้นจากเหลียนชิงโจว มันไม่ใช่ภาพวาดซึ่งวาดด้วยหมึกอย่างที่เขาเคยสอน แต่เป็นภาพวาดที่ใช้ถ่านร่างเส้น เป็นภาพที่ผสมผสานระหว่างความหยาบและความประณีต ซึ่งให้ความรู้สึกว่าทั้งสองอย่างเข้ากันได้อย่างลงตัว

หลังจากนั้นเหลียนชิงโจวจึงนำภาพร่างทั้งหมดที่เฉินเสียนวาดมาให้ซูเจ๋อดูคร่าวๆ

ในเวลานั้นซูเจ๋อสวมเสื้อผ้าบางๆ และนั่งอยู่ในสวนไผ่ สายลมกระโชกแรงพัดโชยมา พัดใบไผ่รวมถึงกระดาษวาดภาพสีขาวปลิวไปทั่ว

เขามองดูภาพวาดทุกภาพอย่างตั้งใจ เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็เลิกคิ้ว

เหลียนชิงโจวเข้ามาในสวนไผ่และค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นว่ารอบกายของซูเจ๋อรายล้อมไปด้วยภาพวาด และดูเหมือนว่าเขาจะสนใจภาพเหล่านั้นมาก

เมื่อไหร่กันที่อาจารย์ของเขาเริ่มสนใจเกี่ยวกับเรื่องหยุมหยิมที่เกิดขึ้นภายในเรือน เรื่องราวการแก่งแย่งอิจฉาริษยาน่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือ? ส่วนใหญ่ตอนที่อยู่ตลาด คนที่สนใจภาพวาดคนตัวเล็กเหล่านี้มักจะเป็นสตรีเสียมาก

เหลียนชิงโจวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นว่า “ที่แท้ท่านอาจารย์ก็ชอบอ่านสิ่งนี้เหมือนกัน ศิษย์เองก็ได้เรียนรู้อะไรๆ หลายอย่าง ปรากฏว่าเรื่องราวภายในครัวเรือนยังมีสิ่งที่น่าคิดน่าเขียนมากมาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าองค์หญิงเอาแรงบันดาลใจจากไหนมาวาดเรื่องราวการต่อสู้มากมายขนาดนี้”

ผ่านไปครู่ใหญ่ซูเจ๋อจึงกล่าวขึ้นมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ที่มาของเรื่องเหล่านี้คือการดำเนินชีวิตและสถานการณ์ที่นางพบเจอ บางทีเนื้อหาในภาพเหล่านี้อาจจะไม่แตกต่างอะไรเลยกับสิ่งที่นางประสบพบเจอด้วยตัวเอง”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองเห็นหญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยวซึ่งอยู่ในจวนแม่ทัพผู้นั้นผ่านการมองภาพคนตัวน้อยในรูปวาด

ซูเจ๋อรู้ว่าเธอลำบาก แต่เขายื่นมือเข้าไปช่วยเธออย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ เธอจำเป็นต้องเข้าใจความยากลำบากที่แท้จริงเสียก่อน จึงจะมีความกล้าหาญพอที่จะโต้กลับคืน

เขาทำได้เพียงยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างหลังเธออย่างเงียบๆ และคอยช่วยเหลือเธอบ้างเป็นครั้งคราว

เหลียนชิงโจวไม่ได้พูดอะไรอีก

หลังจากนั้นซูเจ๋อจึงม้วนภาพวาดแต่ละแผ่นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าระหว่างนั้นอยู่ๆ เขาก็หยุดชะงักและถามขึ้นมาว่า “ช่วงนี้ผู้คนนิยมวาดภาพด้วยถ่านเช่นนี้หรือ หรือว่ามีใครสอนนางให้วาดภาพเช่นนี้”

เหลียนชิงโจวตอบว่า “นอกจากที่เห็นจากองค์หญิง ศิษย์ก็ไม่เคยเห็นจากที่ไหนอีกเลยขอรับ และก็ไม่เคยเห็นด้วยว่ามีอาจารย์ที่ไหนมาสอนองค์หญิงวาดภาพ”

ภาพวาดเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพวาดแบบที่ต้าฉู่น่าจะมี

ซูเจ๋อลุกขึ้นและปัดใบไผ่ออกจากชายเสื้อเบาๆ ในมือถือภาพวาดที่เก็บไว้อย่างเรียบแล้ว จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างว่า “ข้าอยากพบนาง”

ต่อมาเหลียนชิงโจวจึงใช้โอกาสในวันเกิดของตัวเองเชิญเฉินเสียนมาเป็นแขกที่จวนของเขา

ซูเจ๋อไปถึงตอนที่ดึกมากแล้ว เวลานั้นเฉินเสียนกำลังนอนหลับอยู่ในห้อง

เขายืนอยู่ข้างเตียงและมองดูเธอเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็อดไม่ได้และเอื้อมมือไปลูบคิ้วของเธอ

ซูเจ๋อรู้ว่าเธอแตกต่างจากเมื่อก่อน ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากจะบอกว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นคนอีกคน

เธอตื่นตัวและเฝ้าระมัดระวังอยู่เสมอ หากตอนนั้นซูเจ๋อหลบช้ากว่านั้นอีกนิด เขาจะต้องถูกเฉินเสียนพบตัวเข้าอย่างแน่นอน

ซูเจ๋อรู้จักเฉินเสียนในอดีตดีเกินไป นั่นเพราะเขาเป็นคนสอนนางด้วยมือของเขาเอง นางทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ นิสัยของนางเป็นอย่างไร นางมีความคิดแบบไหน ซูเจ๋อรู้ดีหมดทุกอย่าง

แต่หลายสิ่งที่เฉินเสียนผู้นี้ทำได้ เขาไม่ได้เป็นคนสอน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี