“ฮูหยินเฒ่า บ่าวเกรงว่าร่างกายของท่านอาจรับไม่ไหว พวกเราไปพักที่โรงเตี๊ยมคืนหนึ่งก่อน ค่อยขึ้นเขาวันพรุ่งนี้ดีกว่าหรือไม่เจ้าคะ”
ในรถม้า จิ่นหมัวมัวมองไปที่เจ้านายของตนเอง นางคือหลิวอวิ๋นเซียงฮูหยินเฒ่าแห่งจวนจิ้งอันโหว
อายุเพียงแค่ห้าสิบกว่าปี ควรสง่างามกว่านี้แท้ๆ แต่นางทำงานหนักมาตลอดทั้งชีวิต ทำให้ดูแก่ชรากว่าอายุจริงและร่างกายก็เสื่อมโทรมลงทุกวันๆ
ฮูหยินเฒ่าพลันเหลือบมองด้วยความโกรธเล็กน้อยบนใบหน้าแก่ชรา “ขึ้นเขาวันนี้เลย แค่กๆ ๆ”
“ฮูหยินเฒ่า!”
จิ่นหมัวหมัวรีบประคองร่างของฮูหยินเฒ่าในทันที ก่อนจะเห็นว่านางอาเจียนออกมาเป็นเลือดแดงสดเต็มปาก
“ก่อนตาย ข้าต้องได้เจอเขา”
หลิวอวิ๋นเซียงผลักจิ่นหมัวมัวออกไป และพยายามระงับกลิ่นคาวเลือดที่พุ่งขึ้นมาจากลำคอ
จิ่นหมัวมัวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากประคองฮูหยินเฒ่าหลิวลงจากรถม้า
พวกเขาไปถึงที่นั่นหลังจากการเดินทางอันยาวนาน แต่หมู่บ้านวั่งสืออยู่กลางภูเขา ถนนทอดยาวตรงหน้าเป็นเส้นทางขรุขระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฝนตก ดังนั้นพวกนางจึงต้องเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น
แขนขาของหลิวอวิ๋นเซียงไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นางจะเดินบนถนนเส้นนี้ หลังจากเดินได้ไม่ไกล นางก็แทบยืดตัวตรงไม่ได้อีกแล้ว แต่กลับไม่ยอมหยุดพักแม้แต่น้อย
ยามอายุครบสิบหกปี นางได้แต่งงานกับเซี่ยจื่ออันบุตรชายคนที่สามแห่งจวนจิ้งอันโหว ทว่าในคืนวันแต่งงาน ก่อนที่พิธีแต่งงานจะเสร็จสมบูรณ์ สามีของนางกลับถูกเรียกตัวไปทำสงครามอย่างเร่งด่วน และไม่คิดว่าการจากไปครั้งนั้นจะไม่ได้กลับมาอีกเลย
นางจึงเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย จวนโหวเริ่มตกต่ำ บุรุษตายไปจนหมดสิ้น เพราะยังมีคนชราและเด็กๆ นางจึงต้องเลี้ยงดูครอบครัวต่อไป มี
ทุกอย่างดำเนินต่อไปจนกระทั่งเกือบกินเวลาไปทั้งชีวิต ผ่านทุกอย่างมาด้วยความงุนงง
เพลานี้จวนโหวครองอันดับหนึ่งในบรรดาตระกูลขุนนางทั้งแปด ถือได้ว่าไม่ทำผิดต่อบรรพบุรุษตระกูลเซี่ยและสามีผู้ล่วงลับแม้เพียงนิด เดิมทีนางต้องมีความสุขในวัยชรา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินข่าวของสามีที่ตายไปเมื่อสี่สิบปีก่อน
ในที่สุด นางก็เดินไปจนสุดทางถนนเส้นนั้นเสียที
มองขึ้นไปอีกครั้ง ก็เห็นภาพดอกท้อบานสะพรั่งไปทั่วเนินเขา ยามสายลมโบกพัดมา กลีบดอกไม้พัดปลิวไสวราวสายฝน
บนจดหมายกล่าวว่า : สวนดอกท้อมีเส้นทางคดเคี้ยวนำไปสู่เรือนไม้อันเงียบสงบ ท่ามกลางหมู่ต้นไม้นานา
นั่นคือบ้านของเขา
เมื่อเดินไปตามแผ่นหิน เหยียบกลีบดอกท้อหนาหนุ่มนั้น ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในแดนสวรรค์ ไม่เคยคิดเลยว่านอกเมืองจะมีสรวงสวรรค์เช่นนี้ซ่อนอยู่
หลิวอวิ๋นเซียงเคยจินตนาการว่าเมื่อใดที่นางแก่ตัวลง ได้ปล่อยวางเรื่องครอบครัว นางจะหาสถานที่สงบๆ เช่นนี้ใช้ชีวิตครึ่งหลังต่อไป
น่าเสียดายที่นางทั้งคิดและฝันมาตลอดชีวิต แต่ก็ยังปล่อยมือจากเรื่องนี้ไม่ได้เลย
ด้านหน้ามีลำธารเล็กๆ กำลังไหลริน ในน้ำเต็มไปด้วยกลีบดอกท้อสีชมพู มันสวยงามเสียจนทำให้คนพบเห็นตกอยู่ในภวังค์ เมื่อข้ามสะพานไม้ไปจะเห็นเรือนไม้ตั้งอยู่
เป็นอย่างที่จดหมายบรรยายไว้ ผนังนั้นเต็มไปด้วยเถาดอกไม้เลื้อยหลากสีสัน
“ฮูหยินเฒ่า บ่าวว่า...” ใบหน้าของจิ่นหมัวมัวเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“มาถึงที่นี่แล้ว พวกเราไปหาเขาสักหน่อยเถิด” หลิวอวิ๋นเซียงตีมือจิ่นหมัวมัว
หลิวอวิ๋นเซียงยิ้มอย่างขมขื่น “เหตุใดพวกเขาจึงดูอายุน้อยมากกว่าข้ากันหมดทุกคนเลย”
จิ่นหมัวมัวตอบด้วยีหน้าเศร้า “เพราะท่านน่ะต้องรับผิดชอบจวนโหวอันใหญ่โต ทำงานหนักมาตลอดชีวิต ส่วนพวกเขาแค่ใช้ชีวิตสบายๆ ท่ามกลางภูเขาอันเงียบสงบร่มรื่น แล้วจะเทียบกันได้อย่างไร หาที่เปรียบมิได้เจ้าค่ะ”
ชายคนนั้นตัดดอกท้ออีกดอก และสอดเข้าไปในผมของสตรีอย่างระมัดระวัง
“ลี่เหนียง เจ้ายังคงงดงามเช่นเคย”
แม้สตรีคนนั้นจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังคงเขินอายที่ได้ยินเช่นนี้
“จริงสิ มีจดหมายจากจวนโหวบอกว่านางคนนั้นล้มป่วย เกรงว่าจะเหลือเวลาไม่มากแล้ว ท่านจะกลับไปเยี่ยมหรือไม่”
ชายคนนั้นจับมือนางขึ้นมาพร้อมกับถามไปว่า “เจ้าอยากให้ข้าไปหรือ”
“ข้าจะอยากให้สามีไปเจอสตรีอื่นได้อย่างไรกัน”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ไป ข้ากับนางไม่มีความรู้” สึกใดต่อกัน
“ดี”
ชายคนนั้นกอดสตรีไว้ในอ้อมแขนและนั่งอยู่ใต้ต้นท้อ โดยมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่รอบๆ
ระหว่างทางกลับ จิ่นหมัวมัวเห็นว่าฮูหยินเฒ่ากำลังหลับตาตลอดทาง จึงเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
“ฮูหยินเฒ่า สุขภาพของท่านไม่ดีนัก พวกเราพักแรมที่โรงเตี๊ยมสักสองคืนดีหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามมิติรักขุนนางกังฉิน