ข้ามภพมาเป็นแม่เลี้ยงของวายร้ายทั้งห้า นิยาย บท 266

หยูเฟยจงทำท่าเม้มปาก,บนใบหน้าที่งดงามไม่เห็นเเม้เเต่สัญญาณใดๆ

เด็กคนนี้เป็นคนที่มองการณ์ไกล, ทำอะไรก็ทำอย่างช้าๆ สิ่งไหนที่คุ้มค่าก็จะตัดสินใจทำอย่างเด็ดขาด เเต่ถ้าไม่คุ้มค่าก็จะไม่ทำ

แทนที่จี้หยุนชูจะบังคับเขา เเต่เขากลับอดทนรอ

เเน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นานหยูเฟยจงก็พูดออกมาอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาทเห็นด้วย”

เขาไม่เรียกองค์รัชทายาทว่า “พ่อ”เเต่เรียก “องค์รัชทายาท” ซึ่งมันคงมีความหมายอะไรสักอย่าง

จี้หยุนชูอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเเละถอนหายใจ

“จงเอ๋อร์” เขาพูดด้วยเสียงต่ำ “คุณก็รู้ว่าเขาเป็นพ่อเเท้ๆของคุณ”

ทั้งๆที่รู้เเล้วเเต่ก็ยังไม่เคารพพ่อเช่นนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นมาจากหนังสือสักเล่ม

น้ำเสียงของหยูเฟยจงราบเรียบปราศจากการสั่นไหวใดๆ “ไม่เป็นไรพ่อ”

เด็กอายุ 8-9 ขวบ ก็มีความคิดเป็นของตนเองเเล้ว

จี้หยุนชูไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ลูบหัวของเขาและยิ้มเล็กน้อย "เจ้าเป็นคนที่โชคดีที่สุดเลยนะ"

หยูเฟยจงเงยหน้าขึ้น

เขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดจริงๆ

ถึงจะไม่ใช่หลานชายคนโตของฝ่าบาท แต่อนาคตของประเทศอยู่บนบ่าของเขา

อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้หญิง ที่จะออกจากบ้านได้ก็ต่อเมื่อเเต่งงาน

แม้ว่าหยูเฟยจงจะมีอายุเเค่ 8-9 ขวบ เเต่มารดาผู้ให้กำเนิดเเละเหล่าสนมของเขาได้เสียชีวิตไปเเล้ว เขาถูกเเต่งตั้งให้เป็นจวิ้นอ๋อง ซึ่งสามารถมีคฤหาสน์เป็นของตัวเอง หรือจะไปอยู่ที่อื่นก็ได้

เมื่อคืนที่ผ่านมา จี้หยุนชูเเนะนำให้เขาเเละองค์รัชทายาทย้ายที่พำนักใหม่ เเต่เมื่อพิจารณาว่าเด็กๆพึ่งจะกลับมา เขาจึงวางเเผนให้หยูเฟยจงพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง

เเต่นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะใจร้อนขนาดนี้ ยังไม่ทันข้ามคืนเขาก็พูดถึงมันซะเเล้ว

ในอารมณ์ที่ถึงเเม้จะรีบร้อนอยากอยู่กับเเม่ เเต่อีกด้านหนึ่งมันเป็นเพราะว่าหยูเฟยจงนั้นเป็นเด็กที่ฉลาด เขาสังเกตเห็นความเหม่อลอยของพี่ชายเเละน้องสาวของเขาที่ติดตามองค์รัชทายาทมา ความเย็นชาของพระชายาที่เเสดงออกมา ทำให้เขารับรู้ได้ทันทีว่าพี่น้องของเขาไม่ได้เป็นที่ต้อนรับ ดังนั้นเขาจึงกัดฟังเเละพูดมันออกมาเสียเเต่เนิ่นๆ

เเน่นอนว่าองค์รัชทายาทเห็นด้วย

หยูเฟยจงพูดไม่ถูกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ไหนความรู้สึกเเบบไหน อาจจะอยู่ในความรู้สึกที่มีความสุขเล็กน้อย เพราะเขาจะได้อยู่กับเเม่ทุกวัน หรือจะหดหู่อีกครั้ง เมื่อคนคนนั้นเขา.........ตกลงอย่างไม่ลังเล

ดูเหมือนกับว่าการมีอยู่ของพี่น้องของเขามันช่างไม่มีความสำคัญเอาเสียเลย

เเต่นั้นมันก็ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร

หยูเฟยจงเอียงศีรษะ เขาไม่ต้องการแสวงหาสิ่งใดผ่านสถานะของเขา สิ่งที่เขาต้องการคือการได้รับสถานะผ่านความพยายามของเขาเอง เพื่อที่แม่ของเขาจะได้อยู่อย่างสุขสบาย และพี่น้องของเขาจะได้รับการสนับสนุน

เพียงเท่านี้มันก็เพียงพอเเล้ว

ย้อนกลับไปที่พี่ใหญ่

เด็กชายจ้องมองไปที่ไหล่ของหยูเฟยเฉิงอย่างเงียบๆ ภายในตาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสงสารหรือว่าอิจฉา

คนเป็นพี่ชายถูกกำหนดมาให้เเบกรับทุกอย่างมากกว่าพวกเขา เเต่ในภายภาคหน้าตัวพี่ชายเองก็จะได้รับมากกว่าเช่นกัน

……

เมื่อถึงเวลาทานอาหาร เฉียวเหลียนเหลียนนำอาหารออกมา ก็พบว่าบรรยากาศนั้นดูเงียบไป

หยูเฟยเฉิงเเละหยูเฟยจงทั้งสองเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูด

แม้เเต่กู้โหลว เด็กชายตัวอวบอ้วนก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะเสวนาสักเท่าไหร่

แม้เเต่อาหารที่เขาโปรดปรานก็ไม่สามารถทำให้เขายิ้มได้

เฉียวเหลียนเหลียนเห็นจึงเกิดความกังวลขึ้นเล็กน้อย มือพลางหยิบตะเกียบคีบน่องไก่ใส่ชาม ปากก็พลางพูดว่า “โหลวอ่า เป็นอะไรล่ะ”

กู้โหลวทำเเค่เพียงเล่นกับน่องไก่ที่คนเป็นเเม่คีบมาให้ นี้เป็นครั้งเเรกที่เขาไม่คีบมันเข้าปากเหมือนอย่างเช่นเคย เเละก็พูดด้วยเสียงเบาๆว่า “ท่านเเม่ ข้าอยากเปลี่ยนสำนักเรียนวรยุทธ ”

“หืม....ทำไมถึงพูดเเบบนั้นล่ะ” เฉียวเหลียนเหลียนยกคิ้วขึ้น

“ท่านเเม่.......ข้า.......” เด็กชายตัวอวบอ้วนลังเลเล็กน้อย “ข้าอยากเป็นจอมยุทธ์ ข้าอยากเก่งขึ้นมากกว่านี้”

พี่น้องของเขานั้นก็มีฐานะ ซึ่งนั้นมันก็สร้างความกดดันให้กับกู้โหลวเป็นอย่างมาก

เขารู้ตัวของเขาดีว่าเขากับพี่น้องของเขาช่างเเตกต่างกันเสียงเหลือเกิน เขายังรู้อีกด้วยว่าอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้ามภพมาเป็นแม่เลี้ยงของวายร้ายทั้งห้า