เรื่องนั้น เธอเป็นแพะรับบาปมาสี่ปีแล้ว และไม่ได้แคร์ด้วยว่าจะแบกรับมาเป็นเวลานานอยู่บ้างแล้ว ถึงอย่างไรสำหรับเธอแล้ว ก็ไม่ได้สำคัญเลย
เพียงแต่ได้ยินประโยคนั้นของเขาแล้ว จู่ๆเธอกลับไม่อยากจะแบกรับแล้ว ในเหตุการณ์นั้นเธอไม่ใช่ผู้ที่รับผลประโยชน์
ต่อไป ซารางจะต้องกลับไปที่ตระกูลสิริไพบูรณ์กับเขา เธอไม่อยากให้ซารางได้ยินจากปากของสุนันท์และหยาดฝนว่าหม่ามี๊ของเธอเป็นเพชฌฆาตที่ฆ่าคน
“ที่พวกคุณมองคือฉันเจตนาที่จะปล่อยมือผลักหยาดฝนลงไปที่หน้าผา แต่กลับไม่มีคนคิดเลยว่าถ้าหากฉันอยากจะให้หยาดฝนตกลงไปที่หน้าผา แล้วตอนที่หยาดฝนตกลงไปจากหน้าผาทำไมฉันจะต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีจับเธอเอาไว้ด้วย? สู้ปล่อยให้เธอตกลงไปเลยแบบนั้นไม่ดีกว่าหรอคะ? ฉันจะทำให้ตัวเองต้องลำบากอีกทำไม?”
“ตอนนั้นสองมือของฉันจับหน้าผาเอาไว้ เท้าก็ปีนหน้าผาขึ้นมา ถ้าหากไม่ไปช่วยเธอ เพียงแค่ฉันออกแรงก็มีความเป็นไปได้ครึ่งนึงที่จะสามารถปีนขึ้นมาได้ ดึงเธอเอาไว้ ทั้งร่างกายฉันก็หมดแรง ถึงได้ตกลงไปจากหน้าผา คุณช่วยฉันนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ฉันก็ไม่ใช่คนที่ได้รับผลประโยชน์อย่างที่พวกคุณคิดอยู่ในใจอยู่แล้ว ออกัส!”
หน้าอกของเธอเคลื่อนขึ้นลงเล็กน้อย เวลาผ่านไป เอ่ยพูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่มีความโกรธและน้อยใจอีกแล้ว มีเพียงแต่ความรู้สึกที่ไม่ได้ใส่ใจเพียงเท่านั้น
แท้ที่จริงแล้วบางสิ่งบางอย่าง เป็นไปตามเวลาจริงๆ หลังจากนั้นก็ผ่านไปเหมือนกับสายน้ำอย่างเงียบๆ.....
ได้ยินแล้ว สีหน้าท่าทางใบหน้าที่หล่อเหลาของออกัสก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นความรู้สึกที่ลอยปรากฏขึ้นมาในแววตาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขึ้นด้วยเช่นกัน มือใหญ่กระชับแน่นขึ้น เส้นเลือดบนหลังมือยิ่งผุดขึ้นมาด้วย
ตอนที่รีบมาถึงที่หน้าผาในตอนนั้น เขาได้ยินคำพูดที่เย็นชาไม่แยแสที่พูดกับหยาดฝนออกมาจากปากของเธอ
และหยาดฝนอยู่ในกับดักแบบนั้น ได้ยินคำพูดแบบนั้นของเธอ จริงๆแล้วในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกไม่ชอบขึ้นมา
หลังจากนั้น ระหว่างการต่อสู้กันของทั้งสองคน เขาก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของเธอกับหยาดฝนที่ลอยอยู่ท่ามกลางหน้าผา เพียงแต่ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ จากที่เลื่อนลงไปที่คำว่าปล่อยมือนั้น เธอจะปล่อยมือจริงๆ!
เวลานั้น ความรังเกียจที่เกิดขึ้นมานั้นรุนแรงมากจริงๆ เขาคิดว่าเธอเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึง.....
หัวเราะออกมาเบาๆ เชอร์รีนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง : “ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นชีวิตคนหนึ่งชีวิต ฉันคิดว่าฉันเชอร์รีนยังไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น ฉันเองก็กลัวกรรมตามสนองแล้วกลัวฝันร้ายเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าคุณประเมินธาตุแท้ของฉันสูงไปแล้วนะคะ”
ก้มลงมองเธอ เขาจ้องมองมุมปากของเธอมีรอยยิ้มบางๆที่ทั้งสวยงามและทั้งเย็นชา ทันใดนั้นเอง หัวใจกลับเหมือนถูกอะไรบดให้ละเอียด เจ็บปวด เสียใจ เยาะเย้ยตัวเอง เติมเต็มก้นบึ้งของหัวใจไปหมด
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ อารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ปรากฏขึ้นมา การรับรู้ความรู้สึกที่นำมานั้นกลับปะปนกันอย่างหลากหลายเช่นนี้
ตอนที่ได้ยินว่าหยาดฝนตกลงไปจากหน้าผา เขาถูกความรังเกียจ ความเจ็บปวด และอารมณ์ชั่ววูบที่เหมือนกับคลื่นที่ซัดสาดปิดบังดวงตาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
และตอนนี้เองได้ยินเธอคำพูดที่สงบนิ่งและไม่แยแสแบบนี้แล้ว เขาถึงได้รู้สึกว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองน่าขำและน่าเยาะเย้ยแบบนี้นี่เอง
ความจริงแล้ว เธอก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเพียงเท่านั้น และยังตั้งครรภ์อีกด้วย สามารถใช้มือเดียวประคับประคองหยาดฝนไว้ได้เป็นเวลานานขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าได้ถึงขีดจำกัดที่เธอสามารถแบกรับเอาไว้ได้แล้ว
เพียงแต่ความจริงง่ายๆแบบนี้เขากลับคิดไม่ถึงมาโดยตลอด นี่ไม่ได้โง่ แล้วคืออะไรกัน?
“สี่ปีก่อน ทำไมคุณไม่เคย--”
ตอนแรกที่ทั้งสองคนแต่งงานกันเขาก็พูดอย่างชัดเจนแล้ว เธอเองที่ไม่สามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้ หลงรักเขา แล้วหลังจากนั้นก็หลับหูหลับตาเอาความสัมพันธ์เรื่องการแต่งงานระหว่างเขากับเธอทำให้เป็นสามีภรรยากันเหมือนทั่วๆไป สามีออกนอกลู่นอกทาง ภรรยาก็มีสิทธิโกรธและโวยวาย
แต่ตอนนั้นเธอเองก็ลืมไปอย่างเห็นได้ชัด ว่าความสัมพันธ์ของการแต่งงานระหว่างทั้งสองคนไม่เหมือนกับคนอื่นๆ
“ระหว่างผมกับเธอไม่มีอะไรกัน แล้วก็ไม่ได้เป็นแบบที่คุณคิดด้วย.....”
ดวงตาที่ลึกซึ้งของออกัสจ้องมองเธอ เป็นการยากที่จะออกปากอธิบายกับเธอ เสียงแหบยิ่งขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่ากลัวเธอจะเข้าใจผิด :
“สี่ปีที่อยู่อเมริกา นอกจากเป็นการรักษาใบหน้าเธอแล้ว ก็จัดการเรื่องพวกนั้นของสำนักงานใหญ่ที่อเมริกา.....”
“เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องมาพูดกับฉันจริงๆนะคะ เนื่องจากว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลย ซารางล่ะ ฉันจะพาเธอกลับบ้าน คุณเองก็กลับเมืองsไปเถอะค่ะ รอให้ถึงวันศุกร์วันหยุดแล้ว ฉันจะพาซารางไปส่งให้คุณที่เมืองs” เธอนิ่งไปอย่างผิดปกติ
ถ้าหากเอาคำอธิบายเหล่านี้ไปอยู่เมื่อสี่ปีก่อน เช่นนั้นเธอจะต้องดีใจอย่างแน่นอน เธอจะคิดว่าเขาแคร์เธอหรือชอบเธออย่างไม่เจียมตัว
แต่สี่ปีหลังจากนั้น เธอนิ่งสงบเหมือนกับสายน้ำไปแล้ว
“ซารางอยู่พื้นที่สำหรับเด็ก......” เขาเหลือบมองเธอ พลางเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ความเฉยเมยที่เผยออกมาในดวงตาของเธอ เขาอยากจะใช้ก้อนหินมาทำลายเสียเหลือเกิน
ตอนที่เผชิญหน้ากับเธอ เขายอมให้เธอแสดงท่าทีที่โมโห ถากถางแดกดัน มีเจตนาประชดประชัน ปฏิกิริยาแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าเขายังสามารถยั่วให้เธอเกิดความโมโหได้ หรือบางทีในใจของเธอก็ยังมีความรู้สึกแคร์อยู่บ้างแบบนั้น แต่เขากลับไม่ชอบกับท่าทางเรียบเฉยแบบนี้ ถ้าหากยิ่งเฉยเมย นั่นก็แสดงว่าไม่แคร์ สามารถหยิบขึ้นมาได้และวางลงไปได้ สุดท้ายแล้วจากเฉยเมยก็จะกลายเป็นลืมเลือน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง