วายุไม่ได้สนใจมณิกาเลย แต่กลับสัมผัสได้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของเธอกำลังถูกเปิดเผยความจริงออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งที่แล้วที่มณิกาถูกคนจับตัวไป ตระกูลธนัตถ์โชติต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน
ตอนนั้นวายุไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ และก็ไม่อยากจะเข้าไปสอบถาม แค่เวลานี้...
เขากลับอยากรู้เรื่องขึ้นมาซะแล้ว
ไม่นานนัก มณิกาก็รู้สึกว่านั่งแล้วน่าเบื่อชะมัด จึงกลับเข้าไปในตัวบ้านของผู้ใหญ่บ้าน และเอนหลังนอนอยู่บนเตียง
วิไลพัณณ์หลับสนิทไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ดีมากมั้ง ขนาดเธอที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่นั้นมุมปากยังยิ้มอยู่ ด้วยท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก
มณิกาที่เอนตัวลงบนเตียงก็ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนเหมือนกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นวิไลพัณณ์เป็นคนปลุกให้ตื่น
"เมื่อคืนนี้แกไปทำอะไรกับวายุมา? ฉันรอแกอยู่ในบ้านตั้งนานมาก แต่แกก็ไม่กลับมาสักที"
วิไลพัณณ์นั่งอยู่บนเตียง พร้อมทั้งนั่งขัดสมาธิ พร้อมทั้งใช้ทั้งสองข้างยันคาง และจ้องมองมณิกาเหมือนกับเด็กขี้สงสัย เพื่อต้องการรอคำตอบของเธออยู่ตรงนี้
"ไปดูพระจันทร์มา"
เธอหลับตาลงพร้อมทั้งบ่นประโยคหนึ่งออกไป
"อะไรนะ? แกไปดูพระจันทร์กับวายุสองต่อสองเหรอ?"
วิไลพัณณ์อดทำเสียงดังไม่ไหว ด้วยเหตุความอิจฉาริษยาโกรธเกลียดมันตีขึ้นมาพร้อมกัน
เสียงกรีดร้อง จนทำให้มณิกาที่นั่งสัปหงกอยู่ถึงกลับตกใจจนขวัญหนีไป มณิกานั่งอยู่บนเตียง พร้อมทั้งจ้องวิไลพัณณ์ตาเขม็ง "นี่แกพูดเรื่องไร้สาระอะไรออกมา? ก็แกให้ฉันไปช่วยนัดเขาให้ ฉันก็นัดเขาให้แล้ว ถ้าไม่หาข้ออ้างให้เขาเชื่อได้ว่าฉันไปหาเขาจริงๆ งั้นต่อไปจะนัดเขาออกมาได้ยังไงล่ะ?"
"อ้อ พูดอีกก็ถูกอีก เอ่อ...เอ่อ...งั้นทำไมเขาถึงได้ยอมทำตามแกทุกอย่างซะขนาดนั้น พี่พวกชายฉันต่างพูดว่าวายุเขาเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึก แถมยังเป็นคนเด็ดขาด แต่ฉันรู้สึกว่าเขาปฏิบัติต่อแกไม่เหมือนกัน?"
วิไลพัณณ์พูดความในใจออกมาตรงๆ โดยไม่มีอะไรกักไว้เลย
"เพราะว่าย่าของเขาชอบฉัน ฉันคือน้องสาวของเขาในภายภาคหน้า แกพูดสิว่าทำไมเขาถึงดีกับฉัน"
มณิกายื่นมืออกไปแขกหัววิไลพัณณ์อย่างแรง พร้อมทั้งพูดกำชับไปอีกประโยค "ยังมี ตาข้างไหนที่แกเห็นว่าเขาทำตามใจฉันทุกอย่าง? ตาบอดจริงๆ แล้วแหละ"
"โอ๊ย เจ็บชะมัด...."
วิไลพัณณ์เอามือลูบศีรษะของตนเองจากการโดนเคาะหัวจนเจ็บ พร้อมบ่นพึมพำ "ฉันเห็นว่าเขาก็ปฏิบัติตัวกับแกดีมากนะ"
"ตาไม่ดีก็ไปหาหมอตาซะนะ!"
มณิกาที่นอนดึกเหลือบมองว่าเป็นเวลาตีห้ากว่าเอง จึงโมโหมาก
พลันเปิดผ้าห่มบางๆ ออก และลุกเดินออกไปข้างนอกทันที
ครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว มณิกาวิ่งไปทักทายพวกเขาทุกคน จากนั้นจึงไปล้างหน้าล้างตา
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พลันมองเวลาว่ายังเช้ามาก มณิกาจึงเดินออกจากตัวบ้าน
เวลานั้น จึงมองเห็นภาพหมอกเกาะกลุ่มเฉกเช่นทะเลหมอกอยู่กลางอากาศ ผิวน้ำมีไอน้ำลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มีเม็ดน้ำค้างเกาะติดบนต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง สายลมพัดอ่อนๆ พลันเวลายามวิกาลค่อยๆ ถดถอยไป
ภูเขาเขียวขจีสายน้ำใสสะอาด เสียงนกร่ำร้อง กลิ่นดอกไม้ใบหญ้าหอมฟุ้ง หมอกจางๆ เคลื่อนตัวช้าๆ เฉกเช่นดินแดนสรวงสวรรค์
มณิกาดื่มด่ำไปกับสิ่งมาก พลันใส่รองเท้าและเดินอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งให้ความรู้สึกยามรุ่งอรุณที่ไม่เหมือนเดิม
เมื่อเดินออกมาจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านแล้ว จึงมุ่งหน้าเดินไปทางทิศใต้ จนถึงลานตากข้าวทางทิศใต้สุดของหมู่บ้าน บนลานตากข้าวยังมีเครื่องโม่แป้งที่เก่าคร่ำครึมาก
จังหวะที่มณิกากำลังรู้สึกแปลกใจมากอยู่นั้น พลันมีผู้ชายใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นเดินยักแย่ยักยัน แถมยังใส่หน้ากากบนใบหน้า และใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินผ่านเธอไป
มณิกาให้ความสนใจกับการแต่งตัวประหลาดของเขา ตอนที่เธอเหล่มองผู้ชายที่ใส่หน้ากากปิดหน้าและรูปร่างหลังค่อมนั้น ผู้ชายคนนั้นก็กำลังมองมาทางเธอเช่นกัน
หน้ากากทองแดง ปิดบังตั้งแต่หน้าผากยาวจรดคาง พลันเผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่ง ซึ่งทำให้คนอื่นมองไม่เห็นหน้าตาอย่างชัดเจน
"คุณลุงคะ สวัสดีตอนเช้า...ค่ะ!"
ตอนที่มณิกากำลังจ้องมองชายใส่หน้ากากคนนั้นอยู่ วิไลพัณณ์ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน พร้อมทั้งทักทายกับผู้ชายใส่หน้ากากนั่นอย่างกระตือรือร้น
ทว่าตอนที่ชายใส่หน้ากากเบนสายตาไปมองวิไลพัณณ์ในชั่ววินาทีนั้น แต่กลับทำให้วิไลพัณณ์ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
สายตาอันแสนเย็นชาไร้ยากแท้หยั่งถึง ทว่ากลับทำให้มนุษย์สัมผัสได้กลับความสะพรึงกลัว ราวกับ บนตัวเขามีเรื่องราวมากมายที่ซุกซ่อนเอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คุณคือของขวัญจากฟ้า