บทที่ 388 ถึงสถานกงสุล
“ไม่ได้ เพราะปาเอ่อเชื่อมั่นในตัวหมี่เล่อยิ่งกว่า และพวกเขามีโอกาสเอาชนะเซิ่งหูอานซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเจียซือได้ ดังนั้นหากพวกเราร่วมมือกับพวกเขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันเป็นเพียงแค่ไอซิ่งบนหน้าเค้กเท่านั้น แต่ถ้าเราช่วยพระราชวงศ์เจียซือเอาชนะปาเอ่อได้ มันจะเป็นความช่วยเหลือในยามคับขัน ดังนั้นสิ่งตอบแทนที่พวกเราจะได้รับย่อมแตกต่างกัน” ลู่เฉินพูดพลางส่ายหัว
“ความหมายของคุณก็คือถ้าซางปาไม่ตกลง พวกเราก็ไปสนับสนุนพระราชวงศ์เจียซือแทน?”เสี่ยวจิงตาสว่างวาบ
เห็นได้ชัดว่าการสนับสนุนพระราชวงศ์เจียซือนั้นดีกว่าสนับสนุนเสด็จท่านซางปา
“เขาจะตกลงหรือไม่ ยังไงพวกเราก็ต้องช่วยพระราชวงศ์เจียซือ” ลู่เฉินยิ้มจางๆ
เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเขาคือทรัพยากรอันมากมายของเจียซือทั้งหมด ไม่ได้สนใจแค่มณฑลวันทองเท่านั้น
ตราบใดที่เขาให้การช่วยเหลือพระราชวงศ์เจียซือเอาชนะเจ้าผู้ครองนครปาเอ่อได้ เขาเชื่อว่าทรัพยากรมากกว่าครึ่งของเจียซือจะค่อยๆตกอยู่ในมือของเขา
หากทรัพยากรเหล่านี้ทั้งหมดถูกลำเลียงออกไปจะต้องมีกำไรมหาศาลหลายแสนล้าน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือแม้บริษัทเทคโนโลยีอู๋ฉีของเขาจะมีทรัพยากรมากมาย โดยเฉพาะวัสดุหายาก
แต่วัสดุหายากจำนวนมากถูกจำกัดในการใช้งานภายในประเทศ เว้นแต่ว่าเขาจะช่วยกองทัพหรือประเทศทำการค้นคว้าวิจัย
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลู่เฉินจึงให้ตู้เฟยพากองกำลังมาที่นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่รับรู้สถานการณ์ในเจียซือ
ด้วยกองกำลังหลายพันนายและอาวุธแข็งแกร่งจำนวนมาก การที่เขาจะเริ่มออกเดินทางจากน่านน้ำประเทศเหมี่ยนข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียเพื่อมาถึงที่เจียซือจึงเป็นเรื่องยาก
โชคดีที่มีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่พิเศษหลายลำที่อยู่ภายใต้การบริหารยวนโจวกรุ๊ป ดังนั้นทหารทุกนายจึงแต่งตัวเป็นพ่อค้าหรือกะลาสีเรือ ซึ่งแม้แต่ทหารรับจ้างที่มากับเรือก็ไม่อาจสังเกตเห็นได้ง่ายๆ
ตอนที่ลู่เฉินกับตู้เฟยติดต่อกันในช่วงเช้า ตู้เฟยบอกว่าทุกอย่างราบรื่นดี เขามาถึงมหาสมุทรอินเดียแล้วและจะมาถึงท่าเรือวันทองในวันพรุ่งนี้เช้า
“ไปเซิ่งหูอานเมืองหลวงเจียซือเถอะ จอดให้เฉินจิงลงที่นี่ก่อน ถ้าซางปาติดต่อเธอมาอีกที เธอก็บอกว่าไปว่าเปลี่ยนเงื่อนไขไม่ได้ ถ้าเขาตกลง เธอก็ติดต่อฉันมาอีกรอบ” ลู่เฉินพูดกับเฉินจิง
“ค่ะ” เฉินจิงพยักหน้า
หลินตงพาเฉินจิงกลับไปส่งที่โรงแรมก่อน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเซิ่งหูอาน
เมืองหรื่นหม่าห่างจากเซิ่งหูอานประมาณสี่ชั่วโมงโดยการใช้รถ หากนั่งรถไฟจะช้ากว่า
ที่แห่งนี้ไม่ต้องพูดถึงรถไฟความเร็วสูง รถไฟหัวกระสุนและรถไฟด่วนพิเศษที่ขึ้นต้นด้วยตัว T ของหัวเซี่ยก็ยังไม่มี ซึ่งนั่นก็เห็นได้ว่าพวกเขาล้าหลังไปมาก
เซิ่งหูอานในเวลานี้ ชุยหยุ่งจวิ้นก็ได้เชิญคณะกงสุลของสถานกงสุลเกาลี่มารับประทานอาหารค่ำ
เนื่องจากเมื่อคืนถูกลู่เฉินตบหน้าอย่างรุนแรง จึงแน่นอนว่าเขาต้องการให้สถานกงสุลช่วยกู้หน้าให้
คนของเขาขโมยรถของหลินตง แต่เขาเชื่อว่าลู่เฉินไม่มีหลักฐาน
และในทางกลับกันเรื่องที่ลู่เฉินแย่งรถของเขาไปต่อหน้าสาธารณะ ลู่เฉินกลับกลายเป็นมีข้อครหา
นี่เป็นความตั้งใจของชุยหยุ่งจวิ้นที่ต้องการให้สถานกงสุลหัวเซี่ยบังคับให้ลู่เฉินขอโทษ
“คุณชายชุย ถ้าเรื่องเป็นอย่างที่คุณพูดมา ทางสถานกงสุลหัวเซี่ยจะไม่มีทางปกป้องเจ้าหนุ่มแซ่ลู่คนนั้นออกหน้าออกตาอย่างแน่นอน แต่คุณต้องหาทางให้ผู้ใหญ่บ้านลูข่ามาเป็นพยานให้คุณด้วย เพราะการทึกทักไปแบบนี้ ทางสถานกงสุลหัวเซี่ยพูดอะไรไม่ได้” เมื่อจินจื้อหยุ่งผู้เป็นเอกอัครราชทูตแห่งสถานกงสุลเกาลี่ได้ยินสิ่งที่ชุยหยุ่งจวิ้นบอกมา เขาก็อธิบายมาแบบนี้
“ตกลง เดี๋ยวผมจะโทรศัพท์หาผู้ใหญ่บ้านลูข่า” ชุยหยุ่งจวิ้นพยักหน้าพลางหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาลูข่า
เขาเชื่อว่าด้วยอิทธิพลและความสัมพันธ์ทางการร่วมมือของพวกเขา ลูข่าจะต้องบากบั่นจากเมืองหรื่นหม่ามาที่เซิ่งหูอานอย่างแน่นอน
ทว่าสิ่งที่ทำให้ชุยหยุ่งจวิ้นหงุดหงิดก็คือเขาต่อสายไปแล้วสามครั้ง ลูข่าก็ยังไม่รับสายเขา
ตอนนี้ลูข่ากำลังถูกซางปาต่อว่าใส่หน้าโครมๆ เขาจึงไม่มีอารมณ์รับสายของชุยหยุ่งจวิ้น
เดิมทีลูข่าเตรียมของขวัญเอาไว้มากมายและพาลูข่าน้อยผู้เป็นลูกชายของเขามาถึงที่พระราชวังแล้ว โดยเขาวางแผนที่จะทูลขอให้เสด็จท่านซางปาจับกุมตัวลู่เฉินและคนอื่นๆ
ในตอนแรกที่ซางปาเห็นของที่ลูข่ามอบให้มานั้นมีไม่น้อยจึงคิดจะช่วยลูข่าเสียหน่อย
แต่เมื่อเขาได้ยินลูข่าพูดออกมาว่าคนที่ต้องการให้จับกุมคือลู่เฉิน เขาก็ตบลูข่าจนหน้าหัน อีกทั้งยังบอกให้ลูข่าไปขอโทษลู่เฉินและต้องได้รับการอภัยจากลู่เฉิน มิฉะนั้นเขาจะต้องเสียตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านไป
สองพ่อลูกลูข่าตะลึงงันไปชั่วขณะ
เนื่องจากซางปาเคยสัมผัสกับความน่ากลัวของลู่เฉินเป็นการส่วนตัวแล้ว เขาจะกล้าล่วงเกินลู่เฉินได้อย่างไรกัน
และที่สำคัญก็คือพวกเขากำลังปรึกษาหารือกันว่าจะตกลงตามข้อเสนอและยอมร่วมมือกับลู่เฉินหรือไม่
แม้ตอนนี้ยังไม่มีมติ แต่เขาก็มองออกว่าพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างก็หวั่นไหวกับข้อเสนอไปแล้ว
หากพูดกันตามตรง ตัวเขาเองยังไม่มีความหวั่นใจใดๆ เนื่องจากข้อเรียกร้องของลู่เฉินมากเกินไป ทั้งยังฉวยโอกาสแบบนี้มาบงการความรู้สึกเขา เขาจึงไม่พอใจอยู่บ้าง
แต่เขาก็อับจนหนทาง เพราะเขาก็ไม่มีความหวังในการต่อต้านกองทัพปาเอ่อ
ตอนนี้เขากำลังรอให้ถึงพรุ่งนี้เพื่อดูว่ากองทัพของลู่เฉินจะมาถึงท่าเรือวันทองจริงหรือไม่ ถ้าสิ่งที่ลู่เฉินพูดเป็นความจริงทั้งหมด เขาจะยอมไปขอร้องลู่เฉินและร่วมมือกับเขา
“ให้ตายเถอะ ไม่คิดว่าลูข่านั่นจะไม่รับสายฉัน อย่างงั้นไปสถานกงสุลหัวเซี่ยกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวถ้าเขาเห็นจะต้องโทรกลับมาหาฉันแน่” ชุยหยุ่งจวิ้นพูด
“ก็ได้ อันที่จริงถึงลูข่าจะไม่ได้มาเป็นพยานด้วยตัวเอง ผมก็เดาว่าถึงอย่างไรสถานกงสุลหัวเซี่ยก็ไม่กล้าปกป้องเจ้าแซ่ลู่คนนั้นหรอก” จินจื้อหยุ่งพยักหน้า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาไปมาหาสู่กับเอกอัครราชทูตหวงไห่ทาวแห่งสถานกงสุลหัวเซี่ยอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงทราบดีว่าหวงไห่ทาวเป็นคนขี้กลัวคนหนึ่ง ตราบใดที่พวกเขามีท่าทีแข็งกร้าวหน่อย หวงไห่ทาวจะเปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กได้อย่างแน่นอน
“งั้นคงต้องรบกวนเอกอัครราชทูตจินนัดหวงไห่ทาวให้สักหน่อยแล้วล่ะ พวกเราจะได้ไปพบพวกเขาตอนบ่าย” ชุยหยุ่งจวิ้นพูด
จินจื้อหยุ่งถ่อมตัวได้สักพักก็ให้ผู้ช่วยของเขาติดต่อกับทางสถานกงสุลหัวเซี่ย
ตอนนี้พวกลู่เฉินสามคนก็มาถึงเซิ่งหูอานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกสิบกว่านาทีจนในที่สุดก็มาถึงสถานกงสุล
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากลู่เฉิน หวงไห่ทาวก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
เมื่อคืนที่ผ่านมาผู้ใหญ่ในเมืองหลวงได้โทรหาเขาแล้วและขอให้เขาให้ความร่วมมือกับลู่เฉินในเรื่องการลงทุนที่นี่อย่างสุดความสามารถ
หวงไห่ทาวรู้ดีว่าลู่เฉินคือใคร หรือควรจะบอกว่าคนทั้งโลกรู้อยู่แล้วว่าเขาคือเจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทเทคโนโลยีอู๋ฉีนั่นเอง
หวงไห่ทาวอยู่ในตำแหน่งเล็กๆ แม้จะเป็นเอกอัครราชทูตแต่กลับไม่มีอำนาจเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเขาต้องการประจบประแจงลู่เฉิน
ตอนที่พวกเขาถูกจัดให้มาทำงานที่นี่ พวกเขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเองต้องจบไปทั้งแบบนี้ เพราะนี่คือการมอบอำนาจและโดนเนรเทศตลอดไป
“เอกอัครราชทูตหวง รบกวนคุณแล้ว” หลังจากที่ลู่เฉินลงจากรถก็เห็นหวงไห่ทาวเข้ามาต้อนรับ ทั้งยังจับมือเขาอย่างกระตือรือร้น
“ไม่รบกวนเลยครับ ไม่เลย ประธานลู่อย่าได้เกรงใจ” หวงไห่ทาวไม่คิดว่าลู่เฉินจะมีมารยาทถึงเพียงนี้ เขาจึงยิ้มอย่างเกินคาดเล็กน้อย
“อืม งั้นพวกเราเข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีกว่า” ลู่เฉินชักมือกลับพลางยิ้มเล็กน้อย
เนื่องจากข้างนอกร้อนมากถึงขนาดเขาทนไม่ไหว
“อ๊ะ เอกอัครราชทูตหวง คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพมากขนาดนั้นก็ได้ ให้ผู้ช่วยออกมารับพวกเราก็พอแล้ว”
ในเวลานี้รถของชุยหยุ่งจวิ้นและจินจื้อหยุ่งก็มาถึงสถานกงสุล พอลงจากรถก็เห็นหวงไห่ทาวพอดี จินจื้อหยุ่งคิดว่าหวงไห่ทาวออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองเหนือชั้นกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คุณพ่อสายเปย์