ตอนที่ 2 จะไม่อดทนกับคุณอีกต่อไป
แทนไทยยอมทำตามคำขอของโศภิตา เพราะหมอต่างเคยมั่นใจว่าทักษอรไม่มีโอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาอีก แต่เขาเฉยเมยและเย็นชากับเธอเสมอมา โศภิตาเชิดคางขึ้นและมองตรงไปที่เขาโดยไม่สะดุ้งสะเทือน “ฉันคือภรรยาของคุณ เพราะฉะนั้นทำไมฉันต้องย้ายออกในขณะที่เธอกำลังจะย้ายเข้า” แทนไทยก้มลงมองเธอทันที สีหน้าของเขาค่อย ๆ ย่ำแย่ และความมืดครึ้มในดวงตาของเขาก็น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ “ทำไมงั้นเหรอ เพราะตามที่ทักษอรบอก เธอคือคนที่ขับชนทักษอรเมื่อหกปีก่อน!” โศภิตาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มอันขมขื่นก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอ “แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำ คุณจะเชื่อฉันหรือเปล่า” แทนไทยขยับเข้าไปหาเธอทีละก้าว สุดท้ายก็บังคับให้เธอจนมุม เขาคำรามอย่างเย็นชา “เธอคิดว่าฉันจะเชื่อเธออย่างนั้นเหรอ” เขาจ้องมองเธอด้วยดวงตาสีเข้มของเขา ดวงตาที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความรังเกียจ “เธอมันผู้หญิงจิตป่วย ฉันแทบจะรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ชดใช้ความทุกข์ของทักษอรคืนให้เธอเป็นร้อยเป็นพันเท่า!” สีหน้าของแทนไทยเต็มไปด้วยความเย็นชา โศภิตารู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นความโหดเหี้ยมในดวงตาของเขา ผ่านมาหกปีแล้ว เธอคิดว่าเธอจะสามารถก้าวผ่านกำแพงของเขาไปได้ ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่หัวใจของเขายังคงเย็นเป็นน้ำแข็ง “ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนั้น” โศภิตาเม้มปากแน่น แทนไทยจ้องมองเธออย่างเหยียดหยาม ดวงตาสีเข้มของเขาดูเย็นชา และไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงเล็กน้อยอยู่ในดวงตาคู่นั้นเลย “เธอเป็นผู้หญิงฉลาด เธอน่าจะรู้นะว่าควรทำยังไง” เมื่อพูดจบ เขาก็จากไป เหลือทิ้งไว้เพียงห้องที่เต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว โศภิตามองตัวเองในกระจก ตัวเธอดูซีดเซียวและทรุดโทรม เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนในกระจกเป็นใคร เธอรู้สึกภาคภูมิใจในตอนแรก และในที่สุดเธอก็กลายเป็นคนที่เหี่ยวเฉาในความสัมพันธ์นี้ ช่างตลกสิ้นดี หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ ถึงเวลาที่ฉันจะปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ... …… เช้าวันรุ่งขึ้น แทนไทยพาทักษอรไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย โศภิตายืนอยู่หน้ากระจก เธอถอดถ้ากันเปื้อนที่เธอสวมมาตลอด 6 ปีออก เธอสวมชุดเดรสสีขาวและลงไปข้างล่างพร้อมกระเป๋าเดินทาง ทินกรกำลังนั่งไขว่ห้างดูโทรทัศน์ในตอนที่เธอลงมาข้างล่าง เมื่อเห็นเธอ เขาจึงมองไปที่เธอและถามว่า “นี่! เธอกำลังจะไปไหน” ได้ยินเสียงของทินกร โศภิตาจึงเหลือบมองเขาเพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เมินเขาและเดินตรงไปที่ประตู เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ทินกรจึงรีบเดินตรงไปที่เธอและคว้ากระเป๋าเธอไว้ด้วยสายตาเย็นชา “นี่เธอหูหนวกหรือยังไง ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ เธอทำความสะอาดห้องหรือยัง แล้วอาหารเช้าล่ะ เธอคิดว่าเธอกำลังจะไปไหน” ทินกรอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น แต่นอกจากเขาจะไม่เคารพพี่สะใภ้ของเขาแล้ว เขายังกล้าสั่งให้เธอทำสิ่งต่าง ๆ และก่นด่าเธออีกด้วย โศภิตาแกะนิ้วของทินกรออกจากกระเป๋าเดินทางของเธอทีละนิ้ว และพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ฟังนะ ไอ้เด็กเวร นับจากนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่อดทนกับนายอีกต่อไปแล้ว” และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ออกแรงมากจนเกินไป เขาก็ยังจงใจตะโกนว่า “แม่! แม่! มานี่เร็ว! นังผู้หญิงคนนี้กำลังรังแกผมอยู่!” “ทินกร เกิดอะไรขึ้น” เมื่อจารุณีลงมาข้างล่าง ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที เธอด่าและตีโศภิตาด้วยไม้ขนไก่ “คุณพระช่วย! นี่แกกล้าดียังไงถึงมารังแกลูกชายฉัน นังแพศยานี่ ฉันจะฆ่าแก!” ไม่ใช่ว่าหญิงชราคนนี้ไม่เคยตีเธอมาก่อน เธอเคยบอกตัวเองให้อดทนเพราะเห็นแก่แทนไทย แต่ครั้งนี้... โศภิตาคว้าไม้ขนไก่อย่างแรงในชั่วพริบตาแล้วโยนลงไปที่พื้น น้ำเสียงของเธอเย็นชา “อย่ามาแตะต้องตัวฉันอีก!” จารุณีตกตะลึงกับการกระทำของเธอในทันที หลังจากได้สติ จารุณีก็ตะโกนว่า “โศภิตา รัตนธร นี่เธอเสียสติไปแล้วเหรอ! ฉันจะให้ลูกชายฉันหย่ากับเธอ!” ในอดีต เพราะเห็นแก่คุณย่าของแทนไทย เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับจารุณีอยู่เสมอ และเพราะเธอไม่ต้องการให้แทนไทยเกลียดเธอเพราะเรื่องนี้ เมื่อก่อนเธอรู้สึกกลัว แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว โศภิตาเพียงพูดเบา ๆ ว่า “ทำตามที่คุณต้องการเลยค่ะ” ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างหลังเธอจะตะโกนว่าอย่างไร เธอก็ได้ออกจากบ้านฟากฟ้าพร้อมกับกระเป๋าเดินทางแล้ว ไม่กี่วินาทีต่อมา รถเฟอร์รารีสีแดงก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูหน้า ชายหนุ่มรูปงามในรถโบกมือให้เธอ "ไงที่รัก! ขึ้นมาเลย!” โศภิตาขึ้นรถ และทั้งคู่ก็จากไปพร้อมกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คุณสามี ครั้งนี้ฉันต้องหย่าให้ได้