เดิมทีซูหมิงต้องการพูดคำพูดรุนแรงอีกสักสองสามคำ แต่เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาดำสนิทของอวี๋จาว เขาก็ร้อนตัวเล็กน้อย สุดท้ายจึงได้แต่แค่นเสียงแรง ๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
ตอนที่อวี๋จาวมาถึงหอคัมภีร์ ท้องฟ้าก็สว่างพอดี แสงอาทิตย์ทะลุชั้นเมฆ เคลือบแสงสีทองให้กับหอคัมภีร์
นางมาแต่เช้า ด้านนอกหอคัมภีร์ไร้ซึ่งผู้คน
นางก้าวขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าเร่งรีบ มองดูชายชราที่นั่งอยู่ข้างประตูด้วยรอยยิ้ม นางทำความเคารพ พร้อมร้องเรียกด้วยเสียงที่สดใส "ผู้อาวุโสกู่"
ผู้อาวุโสกู่เหมือนกำลังรออวี๋จาวอยู่โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ได้ถือหนังสือในมืออย่างทุกวัน แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินอวี๋จาวเอ่ยทักทาย สีหน้าของเขาก็อ่อนโยนเล็กน้อย และยกมือสร้างม่านอาคมต้องห้ามขึ้นที่รอบกายของทั้งสอง
"เจ้าต้องการฝึกวิชายุทธ์ชนิดใหม่จริง ๆ หรือ"
"ใช่"
"เคล็ดวิชาจันทร์ฉายเหนือมหาสมุทรเป็นวิชายุทธ์ที่เซียนชิงเหยี่ยนคิดค้นขึ้น นับเป็นอันดับต้น ๆ ในบรรดาวิชายุทธ์ธาตุน้ำ เจ้าตัดใจปล่อยวางได้หรือ"
อวี๋จาวพยักหน้าอย่างแรง ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
ผู้อาวุโสกู่มิใช่คนมากความ สาเหตุที่ถามนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพราะคิดแทนนาง
ฝึกวิชายุทธ์ชนิดใหม่เท่ากับปล่อยวางฐานยุทธ์ที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ และเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด จะต้องครุ่นคิดให้ดี
ผู้อาวุโสกู่แอบทอดถอนใจอย่างลับ ๆ
ดูท่าเซียนชิงเหยี่ยนคงทำให้แม่หนูน้อยคนนี้เสียใจมากจริง ๆ
เขาเฝ้าอยู่ที่หอคัมภีร์ทุกวัน จึงพอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอวี๋จาวมาบ้าง
บอกว่าอวี๋จาวใช้อำนาจบาตรใหญ่ รังแกศิษย์น้อง ไม่เคารพศิษย์พี่ เกียจคร้านไม่ปรับปรุงตัว พูดได้ว่ามีชื่อเสียงฉาวโฉ่
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจทำให้ไม่ชอบอวี๋จาวขึ้นมา
ทว่าผู้อาวุโสกู่กลับเป็นคนนอกรีต เขาไม่เคยเชื่อคำเล่าลือในโลกภายนอก เขามีตา สามารถตัดสินเองได้
อวี๋จาวมิได้เลวร้ายอย่างในคำร่ำลือ
ข่าวลือมันเกินจริงเกินไป
เช่นนั้นมันก็น่าสนใจยิ่งนัก
สุนัขขี้ย่อมต้องมีมูล ใครกันที่เป็นคนคอยปลุกปั่น คอยเติมไฟอยู่เบื้องหลัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กลับมาครั้งนี้ ข้อขอเดินวิถีไร้รัก