ตามการคาดการณ์ของอวี๋จาว อีกเพียงหนึ่งก้านธูป ทั้งคู่ก็จะตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว ทว่ากลับมีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาเสียอย่างนั้น
นางหันมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม้ว่าหลานจืออวี๋จะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นอวี๋จาว เขาก็ยังรู้สึกจิตใจสั่นสะเทือน ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
อวี๋จาวสร้างแก่นปราณสำเร็จแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับแก่นปราณทองคำที่อายุไม่ถึงยี่สิบปี แม้แต่ในนิกายเต๋าทั้งห้าที่มีอัจฉริยะมากมายยังพบเห็นได้ยาก
หลานจืออวี๋จำได้ว่าเขาสร้างแก่นปราณสำเร็จตอนอายุยี่สิบเอ็ด ตอนนั้นยังถูกบรรดาผู้อาวุโสและเพื่อนร่วมสำนักมากมาย ยกย่องว่าเขาเป็นโอรสที่สวรรค์โปรดปราน
แต่เมื่อเทียบกับอวี๋จาวในตอนนี้ มันกลับดูด้อยค่าไปเลย
แต่อวี๋จาวเป็นคนโง่เขลาไร้พรสวรรค์ ขาดความทะเยอทะยานมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้เติบโตก้าวหน้าเร็วเช่นนี้
ในดวงตาของหลานจืออวี๋เต็มไปด้วยความสงสัย
กล่าวได้ว่าอวี๋จาวรู้จักหลานจืออวี๋เป็นอย่างดี แค่เห็นสีหน้า ก็เดาได้แล้วว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
นางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ความคิดของหลานจืออวี๋กลับยังคงอยู่ที่เดิม
อวี๋จาวรู้สึกน่าเบื่อหน่าย จึงเก็บสายตากลับคืนมา
หนึ่งก้านธูปต่อมา กระบี่ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับแก่นปราณทองคำแทงทะลุแขนของจี้หานโจว ขณะเดียวกันกระบี่ของจี้หานโจวกลับแทงทะลุผ่านตรงกลางระหว่างคิ้วของเขาไป
แสงกระบี่วาบผ่าน
ของเหลวขุ่นข้นสาดกระเซ็นออกมา
ปัง!
จี้หานโจวถือกระบี่ที่ไม่เปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แขนแม้แต่น้อย และหันกลับไปหาอวี๋จาวพร้อมรอยยิ้มที่สดใส
"ข้าชนะแล้ว"
จี้หานโจวรูปลักษณ์หล่อเหลา มีตาชั้นเดียวที่เฉียบคม เกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณที่อิสระและไม่ยอมผู้ใด ยามนี้รอยยิ้มได้ช่วยลดทอนความเย่อหยิ่ง และเพิ่มความร่าเริงสดใสของวัยหนุ่มให้ตัวเขา
อวี๋จาวเคยเห็นจนเคยชิน จึงไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ หลานจืออวี๋กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
บางทีมันอาจเป็นความรู้สึกระหว่างบุรุษ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้มีเจตนาไม่ดี ความรู้สึกดีอันน้อยนิดที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาพลันสลายหายไปจนหมดสิ้น สายตายิ่งกลายเป็นดังหนามที่แหลมคุ้ม
จี้หานโจวสัมผัสได้ถึงสายตาอันไม่เป็นมิตรที่มองมาได้อย่างรวดเร็ว
เขาหันไปมอง มุมปากที่ยกยิ้มขึ้นพลันตึงลงจนกลายเป็นเส้นตรงทันที ใบหน้าของเขาเย็นชา ราวกับปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
สายตาของทั้งสองประสานกันในอากาศ ต่างคนต่างไม่ยอมเป็นฝ่ายละสายตาก่อน
เขาไม่อยากเชื่อว่าอวี๋จาวจะกล้าท้าทายเข้าเพราะชายที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่ง
"อวี๋จาว ข้าต่างหากที่เป็นศิษย์พี่ของเจ้า"
"ไม่ ท่านไม่ใช่" อวี๋จาวเล็กน้อย "ต้องให้ข้าย้ำอีกครั้งหรือไม่ หลานจืออวี๋ ข้าไม่ใช่คนของยอดเขาตู๋เยว่แล้ว หวังว่าจากนี้ไปหากพบข้าในที่อื่นจงทำเป็นไม่รู้จัก อย่าได้รบกวนซึ่งกันและกันอีกเลย"
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี๋จาวกล่าวเช่นนี้
แต่หลานจืออวี๋ไม่เคยเก็บคำพูดของนางมาใส่ใจเลยสักครั้ง
ครั้งนี้เองก็เช่นกัน
"อวี๋จาว เจ้าจะเอาแต่ใจไปจนถึงเมื่อใดกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะการกระทำไร้เหตุผลของเจ้า ทำให้ทั้งยอดเขาตู๋เยว่ต้องวุ่นวายไปหมด เจ้ารู้ความเหมือนศิษย์น้องเล็กบ้างไม่ได้หรือ"
อวี๋จาวส่ายศีรษะ
สีซอให้ควายฟัง
นางกล่าวกับจี้หานโจวด้วยเสียงแผ่วเบา "ไปกันเถอะ"
"ห้ามไปนะ" รังสีคมกริบแวบผ่านไปในดวงตาของหลานจืออวี๋ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง "อวี๋จาว หากวันนี้เจ้าไม่พูดให้ชัดเจน ก็อย่าหวังว่าจะได้จากไป"
จี้หานโจวโกรธจนลมออกหู ต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกอวี๋จาวจับแขนเอาไว้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กลับมาครั้งนี้ ข้อขอเดินวิถีไร้รัก
เติมเงินละอ่านไม่ได้...
เพราะอะไรถึงให้เติมเงินเป็น$ เติมเป็นเงินบาทง่าย ๆ อย่างเวป เด็กดีไม่ได้เหรอ...