ผลของข่าวก็คือบริษัทใหญ่ในเมือง C ถูกซื้อโดยบริษัทว่านเยว่กรุ๊ปในชั่วข้ามคืน
ภาพที่เลื่อนผ่านไปมา ทันใดนั้นก็มีภาพของจงจิ่งห้าวที่ลงจากรถหน้าบริษัทว่านเยว่กรุ๊ป มีแค่หน้าข้าง ก็ยังเห็นโครงหน้านั้นได้อย่างชัดเจน และยิ่งมีมิติ ขนาดมองผ่านหน้าจอก็ยังเป็นความรู้สึกที่เย็นชาที่คนนอกห้ามเข้าใกล้
“นี่คือการปรากฏตัวครั้งแรกของประธานว่านเยว่กรุ๊ปหลังจากที่ซื้อบริษัทหนานหลง เพราะว่าไม่รับการสัมภาษณ์ ดังนั้นก็เลยไม่รู้เบื้องหลังของการซื้อขายครั้งนี้”
ภาพถ่ายในจอนั้นเป็นภาพที่แอบถ่าย ตอนนี้จงจิ่งห้าวไม่รับการสัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเลยไม่ได้ถ่ายซึ่งๆ หน้า
เธอได้เลื่อนกระจกรถลงนานแล้ว พยายามฟังข่าวเกี่ยวกับเขาให้มากขึ้น ตอนที่เห็นภาพบนหน้าจอ มือทั้งสองของเธอจับที่ประตูไว้ เอาแต่มองภาพนั้นไว้อย่างเดียว แต่ว่าภาพนั้นก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างไว ผู้รับผิดชอบของบริษัทหนานหลงที่ถูกซื้อก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ท่าทางที่หงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวา หนวดเคราเต็มไปหมด ดูเหมือนกับสุนัขที่สูญเสียบ้าน
ฉินยาตั้งใจรอไฟแดงด้านหน้า ไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลินซินเหยียนที่อยู่ข้างหลังกำลังมองอะไรอยู่ พอเป็นไฟเขียว เธอก็สตาร์ทรถขับออกไปเลย
ไม่นานภาพก็ถูกตึกปิดบังไว้หมด ตัดมุมมองของเธอออก
มือทั้งสองของเธอค่อยๆ เก็บกลับมา เธอหดตัวไว้ เอาตัวเองม้วนเข้าไปใส่ไว้ในพื้นที่เล็กๆ กัดริมฝีปากไว้ ฟันที่แหลมได้แทงเข้าที่เนื้อ เลือดกำลังไหลออกมาแต่เธอเหมือนไม่รู้สึกถึงเจ็บเลย แค่อยากระงับความคิดถึงที่ไม่สามารถระงับไว้ได้หลั่งไหลเข้าในสายเลือด
ความเหงาและโดดเดี่ยวแบบนั้นทำให้อยากร้องไห้ แต่เพราะไม่มีเขาอยู่ข้างกายคอยปลอบก็เลยกลืนเข้าไป
เธอเบิกตาโต เพื่อไล่ให้น้ำตาที่จะไหลออกมากลับเข้าไป
สักพักรถก็จอดอยู่ที่หน้าตึก เวิร์คช็อปงานปักอยู่ชั้นสาม
ข้างๆ เป็นรถของช่าวหยุน ฉินยาที่ลงจากรถมองทีหนึ่งก็ยื่นมือมาเปิดประตูรถเบาะหลัง พูดว่า “เขานี่ขยันเนอะ วันๆ เอาแต่วิ่งมาทางนี้ตลอด”
หลินซินเหยียนกลับเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ความแปรปรวนในใจยังไม่หายไป หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขาอีกครั้ง ในใจกลับซับซ้อนกว่าตอนที่จากไปซะอีก
ใครบอกว่าเวลาสามารถเจือจางได้ทุกอย่าง?
แต่ว่าทำไมเธอถึงคิดถึงเขามากกว่าตอนนั้นล่ะ?
ที่แท้เวลาก็ใช่ว่าจะเป็นยาที่สามารถรักษาบาดแผลได้
“พี่หลิน?” เห็นหลินซินเหยียนไม่ลงจากรถ ฉินยาก็เลยเตือนทีหนึ่ง
หลินซินเหยียนดึงสติกลับไปมา เงยหน้ามองเธอ พยายามบีบยิ้มออกมา “น่าจะเป็นเพราะว่าแก่แล้ว ก็เลยเหม่อบ่อยๆ”
ฉินยายิ้มแต่ไม่พูดอะไร คิดได้ว่าเธออยู่ในภวังค์เพราะเรื่องอะไร
หลินซินเหยียนลงจากรถแล้วทั้งสองคนเดินเข้าไปพร้อมกัน ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นสี่ เวลาแบบนี้ทุกคนได้มาเข้างานกันหมดแล้ว มีอาจารย์ทั้งหมด 11นาย พวกเขาพักอาศัยอยู่ในตึกนี้ ตึกนี้มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นสามเอาไว้เวิร์คช็อปงานปัก ชั้นสองเอาไว้ทอผ้า ชั้นสี่เอาไว้พักอาศัย ชั้นหนึ่งโล่งทั้งไว้
ช่าวหยุนเป็นคนหาที่ให้เธอ สภาพแวดล้อมใช้ได้ ค่าเช่าในหนึ่งปีก็ไม่ได้แพงมาก อยู่ในความสามารถของเธอด้วย
ช่าวหยุนดูเหมือนจะมีความสนใจในเรื่องนี้มาก เมื่อพวกเธอเดินเข้ามาก็เห็นเขาคลานไว้ตรงหน้าอาจารย์คนหนึ่งมองอาจารย์คนนั้นไว้ ใช้ไหมสีทองในการปักฟีนิกส์เล่นดอกโบตั๋น
อาจารย์ท่านนี้ยังพิเศษที่สุดในอาจารย์ทั้งสิบเอ็ดท่าน ฝีมือการปักเย็บดีๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่อายุเยอะแล้ว แต่คนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่อายุพึ่งจะ 20 กว่าปี หน้าตาขาวใสสะอาด ใบหน้าที่สวยงาม มือเหมือนกับผู้หญิงมาก นิ้วมือที่เรียวยาวและปราดเปรียว เข็มปักอยู่ในมือของเขาเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาเลย ทุกครั้งที่ปักเข็มลงไปก็แม่นมาก สามารถปักเย็บรูปร่างของภาพออกมาได้อย่างพอดี
ช่าวหยุนจ้องมือที่ไปมาของเขาไว้ แล้วส่งเสียงจุ๊ๆ สองที “น่าเสียดายจริงๆ”
เขาไม่รู้ว่ามีคนเดินมาทางนี้
ฉินยามองเขาแล้วพูดว่า “อะไรน่าเสียดาย?”
มีอะไรน่าเสียดายกัน?
ช่าวหยุนมองดูอย่างตั้งใจมาก ถูกเสียงของคนที่อยู่ก็พูดขึ้นทำให้ตกใจ เงยหน้ามองไปเห็นว่าเป็นฉินยา ท่าทางเหมือนตกใจ “เธอมาตอนไหนเนี่ย?ทำไมเดินไม่มีเสียงเลย?”
ฉินยาจิบทีหนึ่งแล้วพูดว่า “หูนายไม่ดี ไม่ใช่ฉันเดินไม่มีเสียง แล้วก็ นายว่าอะไรน่าเสียดาย?”
เธอคิดว่ามีจุดไหนที่ปักผิดพลาดไป ก็เลยรีบก้มหน้าไปมองดูสินค้า ดอกโบตั๋นดอกนี้ใช้โดยเส้นด้ายสีทองในการเย็บปักถักร้อย ใช้สำหรับพันหน้าอก เสียก็จะต้องปักเย็บใหม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม