กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 472

ริมฝั่งแม่น้ำเถี่ยฝู อาจารย์ผู้เฒ่าหลายท่านที่สวมกวานสูง สวมเสื้อชายแขนกว้างเดินนำอยู่ด้านหน้า ด้านหลังคือชายหนุ่มหญิงสาวที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อ เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ

ขบวนนี้มองดูคล้ายงูเขียวตัวยาวตัวหนึ่ง แต่ละคนกำลังท่องบท ‘เชวี่ยนเสวี๋ยเพียน’ เสียงดัง

น้ำในแม่น้ำไหลริน เสียงท่องตำราดังกังวาน

ในขบวนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีแดง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าใบเล็กสีเงินที่บรรจุน้ำใสไว้จนเต็ม ด้านหลังของนางยังสะพายหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กๆ อีกหนึ่งใบ หลังจากผ่านเมืองหงจู๋และภูเขาฉีตุนมา นางเคยปรึกษากับเจ้าขุนเขาเหมาเป็นการส่วนตัวว่าอยากเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนเพียงลำพัง จะได้ตัดสินใจได้เองว่าตรงไหนควรจะเดินเร็วหน่อย ตรงไหนควรจะเดินช้าหน่อย เพียงแต่อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ตกลง บอกว่าขึ้นเขาลงห้วย ไม่ใช่หลักของการเรียนรู้ ต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่ขณะ

ระหว่างนี้ได้เดินทางผ่านศาลเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู หยางฮวาเทพวารีที่ระดับขั้นสูงสุดของต้าหลี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แทบไม่เคยปรากฎตัว กลับมาปรากฏกายให้อาจารย์และลูกศิษย์ของสำนักศึกษากลุ่มนี้ได้เห็นอย่างที่หาได้ยาก นางกอดกระบี่ยาวห้อยพู่ทองเล่มหนึ่งไว้ในอ้อมอก มองส่งเมล็ดพันธ์บัณฑิตของทั้งต้าสุยและต้าหลีกลุ่มนี้จากไป ตามหลักแล้ว ตอนนี้สำนักศึกษาซานหยาถูกถอดยศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาไปแล้ว ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอันดับต้นๆ ของต้าหลี หยางฮวาไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทนี้ก็ได้

แต่สำนักศึกษาซานหยาที่ย้ายไปอยู่ภูเขาตงหัวของเมืองหลวงต้าสุยเคยเป็นอดีตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของบัณฑิตต้าหลีทุกคน และทุกวันนี้เจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองกรมอย่างกรมพิธีการและกรมกลาโหมต่างก็ให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง

และตอนที่หยางฮวายังเป็นสาวใช้ถือกระบี่อยู่ข้างกายเหนียงเนียงในวังท่านนั้น นางก็เลื่อมใสสำนักศึกษาซานหยาที่ยังอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีมานานแล้ว และยังเคยติดตามเหนียงเนียงเดินทางไปสำนักศึกษา เคยได้พบหน้าอาจารย์ผู้เฒ่าเหมาที่เรือนกายสูงใหญ่คนนั้นมานานแล้ว ดังนั้นวันนี้นางถึงได้ปรากฏตัว

ตรงน้ำตกที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำเถี่ยฝูกับลำคลองหลงซวี มีคนมารออยู่นานแล้ว

เจ้าขุนเขาทั้งหลายของสำนักศึกษาหลินลู่แห่งภูเขาพีอวิ๋น และยังมีเจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉา ต่างก็อยู่ในกลุ่มคนนี้ด้วย

และยังมีผู้เฒ่าสกุลหลี่คนหนึ่ง เขาก็คือเจ้าประมุขสกุลหลี่ที่ถนนฝูลวี่ ท่านปู่ของสามพี่น้องหลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจินและหลี่เป่าผิง ทุกวันนี้ผู้เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดได้กลายเป็นผู้ถวายงานลำดับต้นของต้าหลีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ป่าวประกาศให้ภายนอกรับรู้เท่านั้น

ปีนั้นสกุลซ่งต้าหลีก็เคยมีบุญคุณพิเศษกับสี่แซ่ใหญ่สิบสกุลที่ได้ครอบครองเตาเผามังกรจำนวนมากโดยที่ไม่มีใครรู้ สกุลซ่งเคยลงนามสัญญาลับกับอริยะว่า สกุลซ่งอนุญาตให้แต่ละครอบครัว ‘กักเก็บ’ เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนหนึ่งถึงสามคนเอาไว้ได้ อนุญาตให้พวกเขาแหกกฎฝึกตนอยู่ภายใต้เปลือกตาของอริยะแต่ละรุ่นที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ อีกทั้งยังสามารถมองเมินตราผนึกวิชาลับและการสยบกำราบตามธรรมชาติของถ้ำสวรรค์หลีจูได้อีกด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากฝึกตนแล้วก็ไม่ต่างจากการวาดกรงขังให้กับตัวเอง พวกเขาจะไม่สามารถออกจากขอบเขตของถ้ำสวรรค์ได้โดยพลการ แต่ทุกๆ ร้อยปีสกุลซ่งต้าหลีจะมีรายนามที่กำหนดมาแน่นอนแล้วสามชื่อซึ่งจะถูกพาออกไปจากถ้ำสวรรค์อย่างเงียบเชียบได้ ส่วนเหตุใดทั้งๆ ที่ปีนั้นเจ้าประมุขสกุลหลี่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองแล้ว แต่กลับไม่ถูกสกุลซ่งต้าหลีพาออกไปเสียที คิดดูแล้วความลับเรื่องนี้คงเกี่ยวพันเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน

ถึงอย่างไรผู้เฒ่าสกุลหลี่ก็เป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่ง เขาจึงมองเห็นหลานสาวที่รักมาตั้งแต่ไกล ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าอย่างไรก็ปกปิดไม่อยู่

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกว่าหลานสาวของตนยังคงไม่เข้าพวก ชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังเหมือนอย่างในอดีต แต่ก็คล้ายว่าจะมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ผู้เฒ่าพลันรู้สึกปลาบปลื้มใจ แต่ในขณะเดียวกันก็อดผิดหวังไม่ได้

ถึงอย่างไรเป่าผิงน้อยก็โตแล้ว ไปแอบเติบโตอยู่ภายนอกทั้งอย่างนี้ จริงๆ เลย ไม่คิดจะบอกท่านปู่ที่รักและเอ็นดูนางสักคำ นางก็เติบโตขึ้นมาทั้งอย่างนี้แล้ว

คำว่าสนิทข้ามรุ่น (หมายถึงคนแก่ที่เลี้ยงหลานมาด้วยตัวเอง จึงจะรักและเอ็นดูหลานมากกว่าลูก) นั้น ในตระกูลหลี่ ชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่ผู้เฒ่ามีต่อหลานสาวอย่างหลี่เป่าผิงที่อายุน้อยที่สุดที่ควรเรียกว่าต่อให้เอาความรักที่มีต่อหลานชายสองคนมารวมกันแล้วก็ยังมากกว่า ประเด็นสำคัญคือต่อให้ระหว่างหลานชายคนโตอย่างหลี่ซีเซิ่งกับหลานชายคนรองอย่างหลี่เป่าเจินที่เนื่องจากมารดาของพวกเขาลำเอียงชัดเจนเกินไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงคล้ายจะค่อนข้างคลุมเครือในสายตาของข้ารับใช้ ทว่าความรักและเอ็นดูที่ทั้งสองมีต่อน้องสาวกลับไม่เคยกักเก็บไว้

สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่ยังคงเล็กกะทัดรัดใบเก่า หลี่เป่าผิงเดินอยู่ริมตลิ่งลำคลองหลงซวีที่น้ำตื้น แต่เสียงน้ำกลับดังยิ่งกว่าน้ำในแม่น้ำเพียงลำพัง

อันที่จริงในขบวนห่างไปไม่ไกล หลี่ไหวที่อยู่กับสหายสองคน และยังมีหลินโส่วอีที่กำลังพูดคุยอยู่กับอาจารย์คนหนึ่งของสำนักศึกษาต่างก็สะพายหีบไม้ไผ่แบบเดียวกันนี้

หีบไม้ไผ่ทั้งสามใบล้วนมาจากฝีมือของคนคนเดียวกัน ไม่เหมือนกันสิถึงจะแปลก เพียงแต่ว่าใบของหลี่เป่าผิงนั้นทำขึ้นก่อนใคร วัสดุจึงเป็นเพียงไม้ไผ่เขียวธรรมดาที่หาได้ง่ายที่สุด ส่วนของหลินโส่วอีกับของหลี่ไหวนั้น เป็นเพราะผ่านภูเขาฉีตุนมาแล้ว เฉินผิงอันจึงใช้ไม้ไผ่เฟิ่นหย่งของเว่ยป้อมาทำ แม้จะผ่านไปนานหลายปีก็ยังคงเป็นสีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้อยู่เหมือนเดิม

ส่วนอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยที่เพิ่งจะได้พบกับเฉินผิงอันครั้งแรกที่ด่านของต้าหลีนั้น ไม่ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกันนี้

เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีไม่ได้ปรากฏตัว อริยะหร่วนฉงก็ไม่ได้เผยกายเช่นกัน

รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่เคยตบโต๊ะใส่เหมาเสี่ยวตง จากนั้นก็ถูกชุยตงซานพาไปพูดเปิดใจ เวลานี้ขมวดคิ้วน้อยๆ ต้าหลีทำเช่นนี้ สมเหตุแต่กลับไม่สมผล

คนสองคนที่มีน้ำหนักมากที่สุดอย่างแท้จริงกลับเมินข้ามสำนักศึกษาซานหยาเช่นนี้

ประเด็นสำคัญก็คือจะสำนักหลินลู่ก็ดี หรือเจ้าเมืองอู๋ยวนก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทีจะอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเจน

ในใจของรองเจ้าขุนเขาที่มีชาติกำเนิดมาจากต้าสุยผู้นี้อดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ ถึงอย่างไรแล้วยังคงเป็นเพราะกองกำลังของสองฝ่ายที่ฝ่ายหนึ่งด้อยลง ฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น หวนนึกถึงในอดีต บนอาณาเขตของต้าสุยเราและราชวงศ์สกุลหลู มีบัณฑิตต้าหลีมากมายเท่าไหร่ที่มาเยือนด้วยความเคารพเลื่อมใส เพื่อที่จะได้มาแต่งกลอนร่ายบทกวีด้วยความรู้สึกยินดีและมีเกียรติกับปัญญาชนของสองแคว้น?

กลุ่มคนหยุดเดิน เหล่าอาจารย์ของสำนักศึกษาและคนของต้าหลีต่างก็ทักทายปราศรัยกัน

หลี่เป่าผิงเห็นท่านปู่ของตัวเอง นางถึงได้มีท่าทีเหมือนตอนยังเล็ก ชักเท้าวิ่งตะบึงไปหาจนหีบไม้ไผ่กับน้ำเต้าใบเล็กสีเงินแกว่งกระเทือนเบาๆ

ผู้เฒ่าตะโกนบอกด้วยรอยยิ้ม “เป่าผิงน้อย ช้าๆ หน่อย”

หลี่เป่าผิงหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่าอย่างกะทันหัน นางหัวเราะ เรียกเสียงดังว่าท่านปู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มเจิดจ้า

ผู้เฒ่าอดบ่นไม่ได้ “โตเป็นสาวแล้ว ไม่เข้าท่าเลย”

ห่างออกไปไกล หม่าเหลียนที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของต้าสุยเห็นว่าในที่สุดแม่นางคนนั้นก็ยิ้มออกแล้ว เขาพลันโล่งอก อารมณ์ก็ดีตามไปด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!