ภพนี้ตราบภิรมย์รัก นิยาย บท 103

สรุปบท บทที่ 103 ข้าสอนเจ้าเขียนเอง: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก

อ่านสรุป บทที่ 103 ข้าสอนเจ้าเขียนเอง จาก ภพนี้ตราบภิรมย์รัก โดย ท้อเยาเยา

บทที่ บทที่ 103 ข้าสอนเจ้าเขียนเอง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายประวัติศาสตร์ ภพนี้ตราบภิรมย์รัก ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ท้อเยาเยา อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

คำพูดของฮองเฮาเป็นเหมือนก้อนหินหนึ่งก้อนที่ทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึง

ฝ่าบาทถูกวางยาพิษจริงๆ หรือ

นอกจากนี้หลี่กุ้ยเฟยยังเป็นคนวางยาพิษอีกด้วย?!

ทุกคนก้มหน้าต่ำลงเรื่อยๆ และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ต่างพยายามระงับความรู้สึกของตนเองไว้อย่างเต็มที่ ถ้าสวี่ซื่อกับหลี่เล่อหย่ายังอยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกนางคงต้องตกใจจนลมจับอีกแน่

หลี่กุ้ยเฟยหน้าซีดขึ้นมาอย่างฉับพลัน นางลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนกและมองไปทางฮ่องเต้

นางอยากจะแก้ตัวให้ตัวเอง อยากจะบอกว่าฮองเฮากำลังใส่ร้ายนาง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ หลี่กุ้ยเฟยก็ตกตะลึงและรู้สึกถึงความหนาวเย็นอย่างรุนแรงที่แผ่เข้ามาในหัวใจ

นางเข้าวังมานานหลายปี แต่ยังไม่เคยเห็นฮ่องเต้ทรงโกรธเกรี้ยวขนาดนี้

เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้จะมีอาการอย่างที่หลินเมิ่งหวันกล่าวมาจริงๆ?

หลี่กุ้ยเฟยรู้สึกเหมือนภายในหัวของนางมีเสียงระเบิดดัง ‘ตู้ม’ และภาพตรงหน้าก็มืดไปชั่วขณะ

“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยวางยาพิษผู้ใดจริงๆ นะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำหวานของดอกฉีหลัวมีพิษ หากรู้เรื่องนี้ หม่อมฉันคงไม่กล้าใช่แน่เพคะฝ่าบาท!”

หลี่กุ้ยเฟยคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’ และอธิบายกับฮ่องเต้ด้วยความวิตกกังวล ใบหน้าอันงดงามนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก

ฮ่องเต้ทรงมองหลี่กุ้ยเฟยอย่างเย็นชา สายพระเนตรนั้นคมกริบราวกับมีดคม ประหนึ่งจะตัดหลี่กุ้ยเฟยออกเป็นชิ้นๆ เพื่อให้มองนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

แต่หลี่กุ้ยเฟยกลับมองฮ่องเต้อย่างวิงวอน นางยังคงพูดไม่หยุดว่านางไม่รู้เรื่องพิษของดอกฉีหลัวจริงๆ และนางไม่เคยคิดจะวางยาพิษพระองค์

ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงและคิดวนไปวนมาในพระทัย

ท่าทีของหลี่กุ้ยเฟยดูเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องความเป็นพิษของน้ำหวานจากดอกฉีหลัวจริงๆ นอกจากนี้ฮ่องเต้ยังทรงทราบดีว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ หลี่กุ้ยเฟยก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้

บางที... เรื่องนี้อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ ก็ได้

ฮ่องเต้ทรงระงับอารมณ์อันปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในพระทัย จากนั้นจึงหันไปมองหลินเมิ่งหวัน “เมิ่งหวัน ในเมื่อเจ้ารู้ว่าดอกฉีหลัวมีพิษ เช่นนั้นเจ้ารู้วิธีแก้พิษหรือไม่”

พระองค์ทรงรับสั่งให้หมอหลวงแอบมารักษาหลายวันแล้วแต่ก็ยังรักษาไม่หายขาด ตอนนี้หลินเมิ่งหวันเอ่ยถึงอาการของการถูกพิษน้ำหวานดอกฉีหลัวออกมา นางคงต้องรู้อะไรเกี่ยวกับพิษนี้บ้าง

“ทราบเพคะ” หลินเมิ่งหวันตอบ นางเงยหน้ามองฮ่องเต้ “เพียงแต่อาการโดยละเอียด หม่อมฉัน ต้องตรวจชีพจรก่อนจึงจะยืนยันได้แน่ชัดเพคะ”

ฮองเฮาขมวดพระขนงมองหลินเมิ่งหวัน สายพระเนตรเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ

ทันใดนั้นฉู่โม่หยวนก็ลุกขึ้นและประสานมือคำนับฮ่องเต้ “ทูลเสด็จพ่อ แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเมิ่งหวันจะไม่ได้ดีเยี่ยม แต่นางก็ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเมื่อวันนี้เมิ่งหวันอยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดจึงไม่ให้เมิ่งหวันตรวจดูชีพจรให้เสด็จพ่อ ให้นางได้แสดงความกตัญญูล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า “พวกเจ้าตามข้าไปที่โถงด้านข้าง ฮองเฮา เจ้าดูแลที่นี่ด้วย”

“เพคะ” ฮองเฮาตอบรับอย่างเคารพและเชื่อฟัง ทั้งยังรู้สึกปีติขึ้นมาในใจ

“ฝ่าบาทเพคะ! หม่อมฉันบริสุทธิ์จริงๆ นะเพคะ!” หลี่กุ้ยเฟยรีบคุกเข่าลงตรงหน้าอย่างร้อนใจเมื่อเห็นว่าฮองเต้กำลังจะเสด็จจากไป

ฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงที่เย็นชาว่า “กลับไปตำหนักของเจ้า!”

หลี่กุ้ยเฟยใจหายวาบ ทั้งกังวลทั้งดีใจ จากนั้นจึงรีบคำนับขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วยความซาบซึ้ง

พระทัยของฮองเฮาดำดิ่งลงไปอย่างฉับพลัน

หลี่กุ้ยเฟยเห็นฮองเฮาเป็นหนามยอกอก และฮองเฮาก็ไม่ถูกชะตากับนางและอยากจะจัดการนางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก แค่นำตัวไปที่สำนักเสิ้นสิง แม้จะไม่ถึงกับตาย แต่หลี่กุ้ยเฟยก็คงถูกทุบตีจนผิวเหวอะหวะ

เมื่อเห็นตัวอักษรที่หลินเมิ่งหวันเขียน หางตาของฉู่โม่หยวนก็กระตุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ และรอยยิ้มก็ชะงักค้างอย่างฉับพลัน

หลินเมิ่งหวันจับพู่กันไว้แน่น นางรู้สึกเหงื่อตกและแก้มก็ร้อนเห่อขึ้นมา

หลินเมิ่งหวันนึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่จรดพู่กันลงไป แม้ว่าจะไม่ได้หันไปมอง แต่นางก็เดาได้ว่าฉู่โม่หยวนกำลังทำสีหน้าอย่างไร

แม้ว่านางจะไม่ได้ไร้การศึกษาเหมือนคนอื่นๆ ในโลกภายนอก แต่ถ้าเทียบกับผู้หญิงทั่วๆ ไป การดีดฉิน หมากรุก การวาดภาพหรือการประดิษฐ์อักษรของนางยังนับว่าด้อยจนไม่อาจนำมาออกหน้าออกตาได้

ฉู่โม่หยวนมองตัวอักษรของนางแล้วจะต้องตกใจแน่ๆ...

นางหันไปมองฉู่โม่หยวนเงียบๆ แต่ว่าทันใดนั้น มือของนางก็อุ่นขึ้น

หลินเมิ่งหวันตัวแข็งทื่อและแทบจะจับพู่กันไว้ไม่อยู่

“ข้าจะสอนเจ้าเขียนเอง”

เสียงทุ้มต่ำนั้นแฝงไปด้วยแรงดึงดูดที่เบาบาง ทั้งยังมีความอ่อนโยนที่มิอาจละเลยได้

ทันใดนั้นหลินเมิ่งหวันก็รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดไปทั่วใบหน้า ภายในอกเหมือนมีกระต่ายน้อยกระโดดเตะอย่างดุเดือดจนหัวใจแทบจะพุ่งออกมาจากอก

“ด้านหลังจะเขียนอะไรหรือ” ฉู่โม่หยวนหลุบตามองหลินเมิ่งหวันและเอนกายเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของนาง

ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดที่ใบหูและลำคอของหลินเมิ่งหวัน ทำให้นางสั่นสะท้านขึ้นมาทันที และแก้มของนางก็แดงจนเหมือนจะมีเลือดซึมออกมา

เขียน... เขียนอะไร

สมองของหลินเมิ่งหวันขาวโพลน นางได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจที่เต้นรัวของตนเองและร่างกายก็ยุ่งเหยิงไปหมด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก