คำพูดของฮองเฮาเป็นเหมือนก้อนหินหนึ่งก้อนที่ทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึง
ฝ่าบาทถูกวางยาพิษจริงๆ หรือ
นอกจากนี้หลี่กุ้ยเฟยยังเป็นคนวางยาพิษอีกด้วย?!
ทุกคนก้มหน้าต่ำลงเรื่อยๆ และไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ต่างพยายามระงับความรู้สึกของตนเองไว้อย่างเต็มที่ ถ้าสวี่ซื่อกับหลี่เล่อหย่ายังอยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกนางคงต้องตกใจจนลมจับอีกแน่
หลี่กุ้ยเฟยหน้าซีดขึ้นมาอย่างฉับพลัน นางลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนกและมองไปทางฮ่องเต้
นางอยากจะแก้ตัวให้ตัวเอง อยากจะบอกว่าฮองเฮากำลังใส่ร้ายนาง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ หลี่กุ้ยเฟยก็ตกตะลึงและรู้สึกถึงความหนาวเย็นอย่างรุนแรงที่แผ่เข้ามาในหัวใจ
นางเข้าวังมานานหลายปี แต่ยังไม่เคยเห็นฮ่องเต้ทรงโกรธเกรี้ยวขนาดนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้จะมีอาการอย่างที่หลินเมิ่งหวันกล่าวมาจริงๆ?
หลี่กุ้ยเฟยรู้สึกเหมือนภายในหัวของนางมีเสียงระเบิดดัง ‘ตู้ม’ และภาพตรงหน้าก็มืดไปชั่วขณะ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยวางยาพิษผู้ใดจริงๆ นะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำหวานของดอกฉีหลัวมีพิษ หากรู้เรื่องนี้ หม่อมฉันคงไม่กล้าใช่แน่เพคะฝ่าบาท!”
หลี่กุ้ยเฟยคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’ และอธิบายกับฮ่องเต้ด้วยความวิตกกังวล ใบหน้าอันงดงามนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก
ฮ่องเต้ทรงมองหลี่กุ้ยเฟยอย่างเย็นชา สายพระเนตรนั้นคมกริบราวกับมีดคม ประหนึ่งจะตัดหลี่กุ้ยเฟยออกเป็นชิ้นๆ เพื่อให้มองนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่หลี่กุ้ยเฟยกลับมองฮ่องเต้อย่างวิงวอน นางยังคงพูดไม่หยุดว่านางไม่รู้เรื่องพิษของดอกฉีหลัวจริงๆ และนางไม่เคยคิดจะวางยาพิษพระองค์
ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนงและคิดวนไปวนมาในพระทัย
ท่าทีของหลี่กุ้ยเฟยดูเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องความเป็นพิษของน้ำหวานจากดอกฉีหลัวจริงๆ นอกจากนี้ฮ่องเต้ยังทรงทราบดีว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ หลี่กุ้ยเฟยก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
บางที... เรื่องนี้อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ ก็ได้
ฮ่องเต้ทรงระงับอารมณ์อันปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในพระทัย จากนั้นจึงหันไปมองหลินเมิ่งหวัน “เมิ่งหวัน ในเมื่อเจ้ารู้ว่าดอกฉีหลัวมีพิษ เช่นนั้นเจ้ารู้วิธีแก้พิษหรือไม่”
พระองค์ทรงรับสั่งให้หมอหลวงแอบมารักษาหลายวันแล้วแต่ก็ยังรักษาไม่หายขาด ตอนนี้หลินเมิ่งหวันเอ่ยถึงอาการของการถูกพิษน้ำหวานดอกฉีหลัวออกมา นางคงต้องรู้อะไรเกี่ยวกับพิษนี้บ้าง
“ทราบเพคะ” หลินเมิ่งหวันตอบ นางเงยหน้ามองฮ่องเต้ “เพียงแต่อาการโดยละเอียด หม่อมฉัน ต้องตรวจชีพจรก่อนจึงจะยืนยันได้แน่ชัดเพคะ”
ฮองเฮาขมวดพระขนงมองหลินเมิ่งหวัน สายพระเนตรเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
ทันใดนั้นฉู่โม่หยวนก็ลุกขึ้นและประสานมือคำนับฮ่องเต้ “ทูลเสด็จพ่อ แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเมิ่งหวันจะไม่ได้ดีเยี่ยม แต่นางก็ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเมื่อวันนี้เมิ่งหวันอยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดจึงไม่ให้เมิ่งหวันตรวจดูชีพจรให้เสด็จพ่อ ให้นางได้แสดงความกตัญญูล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า “พวกเจ้าตามข้าไปที่โถงด้านข้าง ฮองเฮา เจ้าดูแลที่นี่ด้วย”
“เพคะ” ฮองเฮาตอบรับอย่างเคารพและเชื่อฟัง ทั้งยังรู้สึกปีติขึ้นมาในใจ
“ฝ่าบาทเพคะ! หม่อมฉันบริสุทธิ์จริงๆ นะเพคะ!” หลี่กุ้ยเฟยรีบคุกเข่าลงตรงหน้าอย่างร้อนใจเมื่อเห็นว่าฮองเต้กำลังจะเสด็จจากไป
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงที่เย็นชาว่า “กลับไปตำหนักของเจ้า!”
หลี่กุ้ยเฟยใจหายวาบ ทั้งกังวลทั้งดีใจ จากนั้นจึงรีบคำนับขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วยความซาบซึ้ง
พระทัยของฮองเฮาดำดิ่งลงไปอย่างฉับพลัน
หลี่กุ้ยเฟยเห็นฮองเฮาเป็นหนามยอกอก และฮองเฮาก็ไม่ถูกชะตากับนางและอยากจะจัดการนางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก แค่นำตัวไปที่สำนักเสิ้นสิง แม้จะไม่ถึงกับตาย แต่หลี่กุ้ยเฟยก็คงถูกทุบตีจนผิวเหวอะหวะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก