ภพนี้ตราบภิรมย์รัก นิยาย บท 104

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลินเมิ่งหวันจึงเขียนใบสั่งยาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและนำไปส่งให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้นึกอยากจะสรวลออกมาเมื่อทอดพระเนตรเห็นแก้มแดงๆ ของหลินเมิ่งหวันและสีหน้าที่สงบของฉู่โม่หยวน

พระองค์เหลือบมองใบสั่งยา ด้วยความช่วยเหลือของฉู่โม่หยวน ตัวอักษรที่เขียนจึงพอจะทนดูได้

ฮ่องเต้ทรงกระแอมเบาๆ เพื่อบรรเทาบรรยากาศที่น่าอึดอัดในเวลานี้ จากนั้นจึงมอบใบสั่งยาให้ใต้เท้าฉีที่อยู่ข้างพระวรกาย “เจ้าลองดู”

“พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าฉีรีบอ่านคร่าวๆ แววตาฉายให้เห็นถึงความประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ทักษะทางการแพทย์ของหลินเมิ่งหวันยอดเยี่ยมมาก!

เขาประสานมือคำนับฮ่องเต้และกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท คุณหนูหลินสั่งโอสถรักษาได้ตรงจุด เหมาะสมยิ่งกว่าโอสถที่ข้ากระหม่อมจัดให้ก่อนหน้านี้ หากพระองค์เสวยโอสถตามใบสั่ง อาการของพระองค์จะรักษาหายอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจอย่างโล่งอกและรู้สึกโล่งพระทัยขึ้นมาบ้าง

พระองค์กำลังจะชื่นชมหลินเมิ่งหวัน แต่พบว่าหลินเมิ่งหวันกำลังมองพระองค์ด้วยท่าทีลำบากใจ ราวกับลังเลที่จะพูดอะไรสักอย่าง

“มีสิ่งใดงั้นหรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

หลินเมิ่งหวันเม้มปาก จากนั้นจึงน้อมกายคำนับฮ่องเต้และกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท เมิ่งหวันยังมีอีกเรื่องที่ต้องเตือนพระองค์เพคะ”

“เจ้าว่ามาเถิด”

“อาการของพระองค์ตอนนี้เกิดจากการถูกพิษของดอกฉีหลัว เวลานี้หลี่กุ้ยเฟยทราบแล้วว่าเครื่องหอมของพระนางส่งผลเสียต่อพระวรกายของพระองค์ และพระนางจะหยุดใช้แน่ เพียงแต่วันนี้คงไม่ใช่วันแรกที่หลี่กุ้ยเฟยใช้เครื่องหอมจากดอกฉีหลัวฤทธิ์ของพิษน่าจะซึมเข้าสู่ชั้นผิวแล้ว ดังนั้นแม้ว่าหลี่กุ้ยเฟยจะหยุดใช้เครื่องหอม เกรงว่าในระยะเวลาอันสั้น...”

หลินเมิ่งหวันไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ทุกคน ณ ที่นั้นเข้าใจดีกว่านางหมายถึงอะไร

หมอหลวงฉีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นจึงเอ่ยกับฮ่องเต้อย่างจริงจังว่า “ทูลฝ่าบาท สิ่งที่คุณหนูหลินกล่าวมาเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ พระองค์อย่าติดต่อใกล้ชิดกับหลี่กุ้ยเฟยจะเป็นการดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาการกำเริบอีก ข้ากระหม่อมเองก็จะตรวจสอบทั่วทั้งตำหนัก กำจัดพิษจากดอกฉีหลัวออกไปให้หมดสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”

พระเนตรของฮ่องเต้วูบไหวเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าให้หลินเมิ่งหวันกับหมอหลวงฉี

“ข้าเข้าใจละ” ฮ่องเต้มองฉู่โม่หยวนกับหลินเมิ่งหวันและตรัสว่า “ในเมื่อข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก พวกเจ้าก็กลับไปชมบุปผาต่อเถิด”

ฉู่โม่หยวนกับหลินเมิ่งหวันขอตัวออกไปและออกไปจากโถงด้านข้างด้วยกัน

แต่ก่อนที่จะไปถึงอวี้ฮัวหยวน จู่ๆ ฉู่โม่หยวนก็จับมือของหลินเมิ่งหวันและดึงนางไปที่มุมกำแพง

สถานการณ์คลุมเครือที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้หลินเมิ่งหวันประหม่าเล็กน้อย นางเงยหน้ามองฉู่โม่หยวนและคิดจะถามเขา แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินฉู่โม่หยวนถามขึ้นมาว่า “ข้ามีเรื่องที่สงสัยอยู่เล็กน้อย เจ้าได้กลิ่นน้ำหวานดอกฉีหลัวจากตัวหลี่กุ้ยเฟยจริงๆ งั้นหรือ”

หลินเมิ่งหวันใจหายวูบ แต่ประเดี๋ยวเดียวก็กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา มองฉู่โม่หยวนและเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอดว่า “จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยตรัสเช่นนี้ คือกำลังสงสัยว่าหม่อมฉันใส่ร้ายหลี่กุ้ยเฟยหรือเพคะ”

“ไม่ใช่” ฉู่โม่หยวนโน้มกายไปข้างหน้า จนจมูกที่โด่งเป็นสันเกือบจะสัมผัสกับปลายจากจมูกของหลินเมิ่งหวัน

หลินเมิ่งหวันกลั้นหายใจทันควัน เลือดในกายเริ่มเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าเพียงแค่ประหลาดใจที่เจ้าประสาทไวต่อกลิ่น นอกจากนี้ตอนอยู่ที่อวี้ฮัวหยวน เจ้ายังอยู่ไกลจากหลี่กุ้ยเฟย แต่เจ้าก็ยังได้กลิ่นของดอกฉีหลัว แล้วตอนนี้ล่ะ เจ้าได้กลิ่นหรือไม่ว่าวันนี้ข้าใช้เครื่องหอมอะไร”

ฉู่โม่หยวนหลุบตาจ้องมองหลินเมิ่งหวัน เสียงของเขาตวัดขึ้นเล็กน้อยจนเหมือนกับมีตะขอเล็กๆ เกี่ยวเข้ามาที่ปลายสุดหัวใจของหลินเมิ่งหวัน

ดวงตาที่ลึกล้ำนั้นสว่างไสวราวกับดวงดาว เผยให้เห็นถึงความอยากรู้อย่างแรงกล้า

แก้มของหลินเมิ่งหวันร้อนผ่าว นางมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้าและระงับความสั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจไม่ได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก