“ริน การแต่งงานมันคือชีวิตของหนูทั้งชีวิตนะลูก แม่จะไม่ยอมให้หนูแต่งงานกับเขา” กานดารู้ดีว่าทำไมรินลดาถึงยอมแต่งงาน
รินลดาวางอาหารลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วพูดว่า “อย่างน้อยหนูก็ไม่ได้แต่งงานกับคนอื่นคนไกล เขาเป็นลูกชายของเพื่อนแม่ไม่ใช่เหรอคะ?”
“คุณหญิงช้อยเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน แม่ไม่รู้จักลูกชายของเธอเลย หนูควรได้แต่งงานกับผู้ชายที่หนูรักจริง ๆ แม้ว่าเราจะต้องผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ แต่แม่ไม่อยากให้หนูใช้การแต่งงานมาเป็นเครื่องต่อรอง แม่เองอยู่ที่นี่ไปจนวันตายซะจะยังดีกว่า”
ผู้ชายที่เธอรักงั้นเหรอ?
ต่อให้เธอได้เจอใครคนนั้นจริง ๆ เธอก็ไม่คู่ควรกับเขาอยู่ดี
สำหรับรินลดา มันไม่สำคัญเลยว่าเธอจะต้องแต่งงานกับใคร สิ่งที่สำคัญคือการเอาทุกอย่างที่พวกนั้นเอาไปจากแม่ของเธอกลับคืนมา
เมื่อกานดาไม่สามารถโน้มน้าวให้รินลดาเปลี่ยนใจได้ พวกเขาจึงออกเดินทางกลับประเทศอัคราในวันรุ่งขึ้น
จตุเทพไม่อนุญาตให้พวกเขาอยู่ในบ้านของครอบครัว เพราะพวกเขาไม่เป็นที่ต้องการ จตุเทพพาทั้งสองไปเช่าบ้านอยู่ เมื่อถึงวันนั้นแต่งงาน รินลดาจึงจะได้ไปที่บ้านโชคอนันต์
รินลดาเองไม่เคยอยากไปที่นั่นอยู่แล้วเพราะรู้ว่าแม่ของเธอจะต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ทำลายชีวิตครอบครัวของเธอ ดังนั้นทั้งสองจึงพอใจที่จะมาเช่าบ้านอยู่
มันช่างเงียบเหงาเหลือเกิน
กานดายังคงกังวลเรื่องการแต่งงาน "ริน โอกาสนี้จะมาไม่ถึงลูกเลย ถ้างานแต่งงานนี้เป็นเรื่องดี ถึงแม้ว่าแม่กับคุณหญิงช้อยจะสนิทกันก็ตาม”
รินลดาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้แล้ว เธอพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “แม่คะ กินข้าวกันเถอะ”
กานดาถอนหายใจ เธอรู้ว่ารินลดาไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องนี้ต่อ แต่ลูกสาวคนนี้ยอมทนทุกข์กับเธอมาหลายปีแล้ว และตอนนี้เธอยังจะต้องมาเสียสละชีวิตของตัวเองอีก
รินลดาถือช้อนส้อมพร้อมลงมือทาน แต่เธอกลับไม่นึกอยากกินอะไรเลย อาการแพ้ท้องเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ
"ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า?" กานดาถามด้วยความเป็นห่วง
รินลดาไม่อยากให้แม่ต้องเป็นกังวล จึงโกหกไปว่าเธอยังปรับเวลาจากการเดินทางข้ามซีกโลกไม่ได้ก็เท่านั้น
เธอวางช้อนส้อมลงและเดินเข้าห้องนอนไป
หลังจากปิดประตู รินลดายืนพิงประตูอย่างท้อแท้ ถึงเธอจะไม่เคยท้อง แต่เธอก็เคยเห็นอาการแพ้ท้องแบบนี้สมัยที่แม่ท้องน้องชาย แม่แพ้กลิ่นอาหารทุกชนิดและไม่อยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
และตอนนี้รินลดาก็กำลังมีอาการแบบเดียวกันนั้น
หนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่คืนวันนั้น ประจำเดือนของเธอมาช้าไป 10 วันแล้ว
เธอไม่อยากนึกถึงความอดสูในคืนนั้นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะความเป็นความตายของแม่และน้องชายรอเธออยู่ เธอก็คงไม่ต้องขายตัว
เธอเริ่มตัวสั่น......
“คุณตั้งครรภ์ได้หกสัปดาห์แล้ว”
แม้จะเดินออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว แต่คำพูดของคุณหมอยังคงตามมาหลอกหลอนเธออยู่ในใจ
ผลจากการตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลซึ่งรินลดาแอบไปโดยไม่บอกกานดาทำให้เธอเครียดจัด เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าควรเก็บเด็กคนนี้ไว้หรือจะทำแท้งดี
รินลดาอดไม่ได้ที่จะลูบเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอที่ก่อตัวอยู่ในท้อง แม้เขาจะเกิดมาจากความไม่ตั้งใจและความอัปยศ แต่เธอก็ไม่พร้อมที่จะทำลายชีวิตอันบริสุทธิ์
ความรู้สึกของการที่จะได้เป็นแม่ ทำให้เธอทั้งสุขและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
เธอนั่งอยู่เงียบ ๆ ตรงนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน
ก่อนเข้าบ้าน รินลดาซ่อนผลการตรวจอัลตราซาวด์ไว้ในกระเป๋าอย่างมิดชิด
เมื่อเห็นว่าจตุเทพรอเธออยู่ สีหน้าของเธอเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
เขามาทำไมที่นี่?
ดูจากสีหน้าของจตุเทพแล้ว เขาก็คงไม่อยากมาสักเท่าไหร่ ยิ่งต้องมานั่งรออีก น้ำเสียงของเขาห้วนและแข็งกระด้าง “เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ”
“ทำไมคะ?” รินลดาถาม
“ในเมื่อเธอจะแต่งงานกับพวกวิสุทธิภักดิ์ เธอก็ควรที่จะแต่งตัวให้มันดีกว่านี้หน่อย จะให้บ้านนั้นเห็นเธอในสภาพนี้ได้ยังไง? อยากทำให้ฉันขายหน้านักงั้นเหรอ?”
นี่เธอยังมีความรู้สึกเจ็บปวดหลงเหลืออยู่อีกเหรอเนี่ย?
รินลดาคิดว่าความรู้สึกของเธอคงตายด้านไปแล้วนับจากวันที่เธอต้องขายตัวเองและสูญเสียน้องชายไป
แต่คำพูดที่ไร้หัวใจจากจตุเทพ ก็ยังคงทำให้เธอเจ็บปวดได้อยู่ดี
เขาไม่เคยดูแลเธอเลยตั้งแต่ส่งเธอและแม่ไปอยู่อีกซีกโลก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กว่าจะรู้ว่ารัก