เมื่อสวมชุดเสร็จเรียบร้อย รินลดาแอบเหล่มองไปที่ห้องทางซ้ายมืออีกครั้งขณะที่เดินออกจากห้องลอง แต่ห้องนั้นยังคงปิดสนิทอยู่
“มันเหมาะกับคุณมากเลยค่ะ”
พนักงานขายมีเทสต์ในการแต่งตัว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับลูกค้า เดรสยาวสีฟ้าอ่อนที่รินลดาสวมใส่ช่วยขับให้ผิวของเธอดูเปล่งปลั่งขึ้น ริบบิ้นที่กลางลำตัวเน้นช่วงเอวที่คอดกิ่วของเธอ แม้ว่าเธอจะดูผอมไปสักหน่อย แต่ใบหน้าที่บอบบางของเธอก็ช่วยส่งให้เธอดูสวยสง่าในชุดนี้
จตุเทพมองดูรินลดาอีกครั้งด้วยความพึงพอใจแล้วจึงเดินนำไปที่แคชเชียร์ ตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าชุดนี้ราคาสูงถึง 30,000 เหรียญ แต่เมื่อคิดได้ว่านี่จะเป็นชุดที่เธอจะใส่ไปพบกับครอบครัววิสุทธิภักดิ์ เขาก็ยอมจ่าย “ไปกันเถอะ” เขาพูดอย่างเย็นชา
รินลดาเคยชินกับกริยาที่ไม่แยแสนี้ดีอยู่แล้ว แต่ความเยือกเย็นในน้ำเสียงของเขาก็ยังคงทำให้เกิดคลื่นแห่งความเศร้าในใจเธอได้อยู่ดี
รินลดาเดินตามเขาเข้าไปในรถด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ไม่นาน พวกเขาก็มาอยู่ที่หน้าคฤหาสถ์ของครอบครัวโชคอนันต์
คนขับเปิดประตูให้จตุเทพ รินลดาเดินตามเขาไป
เธอยืนนิ่งอยู่หน้าคฤหาสน์ เขาและภรรยาใหม่คงมีความสุขกับชีวิตที่นี่ ขณะที่เธอและแม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพื่อดูแลน้องชายที่ป่วย
เธอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
"ยืนทำอะไรอยู่?" จตุเทพหันกลับไปมองเมื่อเห็นว่ารินลดาไม่ได้เดินตามเขาเข้ามา เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ทางเข้า
รินลดาหลุดออกจากภวังค์และรีบเดิมตามเขาเข้าไป เมื่อพวกเขามาถึงด้านใน สาวใช้รายงานว่าแขกยังไม่มา จตุเทพจึงบอกให้เธอรอในห้องนั่งเล่น
ใกล้ ๆ กับหน้าต่างทรงฝรั่งเศสมีเปียโน Seidl & Sohn ที่ผลิตในประเทศเยอรมนีตั้งตระหง่านอยู่ มันเป็นของขวัญราคาแพงจากแม่ของเธอเมื่อเธออายุได้ห้าขวบ
รินลดารักเปียโนหลังนี้มาก เธอเริ่มหัดเล่นเปียโนตั้งแต่อายุสี่ขวบครึ่ง แต่ก็ต้องหยุดเล่นไปเมื่อเธอถูกส่งตัวไปต่างประเทศ เธอไม่มีโอกาสได้แตะเปียโนอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เธอเอื้อมมือไปสัมผัสเปียโนโดยไม่รู้ตัว มันเป็นความคุ้นเคยที่ทำให้เธอตื่นเต้น
นิ้วชี้ของเธอกดเบา ๆ ลงบนแป้น ‘พลิ้ง’ เสียงใสก้องกังวานดังไปทั่วห้อง นิ้วของเธอแข็งเพราะขาดการฝึกฝน
“เปียโนของฉัน! ใครอนุญาตให้เธอแตะต้องมัน?” เสียงแหลมปรี๊ดดังมาจากด้านหลัง เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจ
เปียโนของเธองั้นเหรอ?
รินลดาหันกลับมาและเห็นเยาวดียืนอยู่ข้างหลังเธอ รินลดาเกือบจะเห็นควันพวยพุ่งออกมาจากหูของหญิงสาว เยาวดีอายุสิบเจ็ดปี เธออายุน้อยกว่ารินลดาเพียงปีเดียว รินลดายอมรับว่าเยาวดีสวยไม่ต่างจาก ‘มนฤดี’ แม่ของเธอ
เยาวดีโกรธจัดจนต้องกัดฟันแน่นและจ้องมาที่รินลดา
“ของเธองั้นเหรอ?”
พวกนี้ทำลายชีวิตครอบครัวของแม่และยังเอาเงินของแม่ไป แล้วตอนนี้แม้แต่ของขวัญที่แม่มอบให้เธอก็ยังตกเป็นของเยาวดีอีกเหรอ?
เธอกำหมัดแน่นและบอกตัวเองให้นิ่งไว้ เธอยังไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องทรัพย์สมบัติของเธอและแม่ในตอนนี้
เธอจะประมาทไม่ได้!
เธอไม่ใช่เด็กน้อยขี้แยที่พ่อของเธอส่งไปอยู่ต่างประเทศเมื่อแปดปีก่อนอีกต่อไป เธอโตแล้ว
“เธอคือรินลดา!” เยาวดีนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ครอบครัววิสุทธิภักดิ์จะมาดูตัวเจ้าสาว พ่อของเธอพากานดาและรินลดากลับมาจากต่างประเทศเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เยาวดียังคงจำใบหน้าที่น่าสมเพชของรินลดาได้ดีในวันที่จตุเทพไล่เธอและแม่ของเธอออกจากบ้าน รินลดาคุกเข่าอ้อนวอนพ่อไม่ให้ส่งเธอไป
“คงดีใจมากสินะที่พ่อพาเธอกลับมา” เยาวดียกแขนขึ้นกอดอกและมองดูรินลดาด้วยสายตารังเกียจ “อย่าผยองไปนักเลย เธอกลับมาเพื่อแต่งงานกับผู้ชายจากครอบครัววิสุทธิภักดิ์นี่ ฉันได้ยินมาว่าผู้ชายคนนั้น—”
พูดยังไม่ทันจบประโยค เยาวดีก็หัวเราะอย่างสะใจ
เยาวดีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจเมื่อนึกว่ารินลดาจะต้องแต่งงานกับผู้ชายพิการที่ไร้สมรรถภาพ
การแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ตอนนี้ชีวิตของรินลดาก็เหมือนถูกทำลายเพราะต้องแต่งงานกับผู้ชายไร้ความสามารถ
รินลดาขมวดคิ้ว
ขณะนั้นเอง สาวใช้เข้ามารายงานว่า “ครอบครัววิสุทธิภักดิ์มาแล้วค่ะ”
จตุเทพเดินไปต้อนรับผู้มาเยือนถึงหน้าประตูและเชิญเข้ามาด้านใน
เมื่อรินลดาหันกลับมา เธอเห็นชายบนรถเข็นถูกเข็นเข้ามาในบ้าน เขามีใบหน้าที่นิ่งสุขุมและสง่างาม แม้จะนั่งรถเข็น เธออดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีใครกล้าดูถูกเขาไหม
ใบหน้าของเขา... นี่คือผู้ชายที่เธอเห็นในห้องลองชุดกับผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กว่าจะรู้ว่ารัก