คำพูดของฟางเฉิงนั่นไม่ได้ทำให้ฟางอี้หมิงใจเย็นลงเลย แต่มันยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิมอีก
เขากำหมัดแน่น เนื่องจากรู้สึกโกรธเกินไป จนทำให้ใบหน้าบูดเบี้ยวไปด้วย เห็นแล้วใครก็ต้องตกใจ
“รักฟางยู่เชินที่สุดเหรอ? แล้วผมไม่ใช่หลานของเขารึไง?!” เขาถามฟางเฉิง
ถึงรู้ว่าเป็นลูกชายของตัวเอง แต่พอเห็นเขาโมโหขนาดนี้ ฟางเฉิงก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน จึงได้ตอบไปอย่างระวังว่า “แกก็ต้องเป็นหลานของท่านอยู่แล้วสิ ดังนั้นฟางซื่อกรุ๊ปถึงได้เป็นของแกด้วยส่วนหนึ่งไง”
“ไม่ใช่ของผมแค่ส่วนหนึ่ง แต่ต้องเป็นของผมทั้งหมด”
ฟางอี้หมิงหายใจลึกๆ ไปหลายครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ “ผมไม่มีทางยอมให้ฟางยู่เชินได้อยู่อย่างสบายเด็ดขาด หนึ่งอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้นมานั้น มันจะตรวจหาไม่ได้อะไรเหมือนเดิม”
“ใช่ ใช่ หาไม่เจอแน่นอน” ฟางเฉินพูดสนับสนุน
“ย่วนชิงโซงออกนอกประเทศรึยังครับ?” ฟางอี้หมิงถาม
“เรื่องนี้แกไม่ต้องเป็นห่วง เขาออกนอกประเทศไปแล้ว ในช่วงสั่นๆ เขาไม่มีทางกลับมาแน่นอน”
ฟางอี้หมิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ตอนนี้ก็เหลือแค่หลี่เผิง ขอแค่เขาไม่ฟื้นขึ้นมา ฟางยู่เชินก็ต้องยอมมอบฟางซื่อกรุ๊ปออกมาอย่างว่าง่ายเท่านั้น”
“ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้ ลุงรองของแกกำลังดึงตัวพวกกรรมการอยู่ แล้วเราควรเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า?” ฟางเฉิงถาม
ฟางอี้หมิงขำเยาะเย้ย “ฟางเย้นซินนี่คิดตื้นเกินไป คิดว่าแค่ดึงตัวพวกกรรมการได้ไม่กี่คนก็ทำให้ได้เปรียบในที่ประชุมแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
กรรมการพวกนั้นมันเจ้าเล่ห์จะตาย ใครที่สามารถให้ผลประโยชน์กับพวกมันได้จริงๆ พวกมันถึงจะหันไปสนับสนุนคนนั้นต่างหาก”
ฟางเฉิงคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ “ถ้าตามที่แกพูด แบบนี้พวกนั้นจะไม่หันไปสนับสนุนฟางยู่เชินกันหมดเหรอ? ยังไงตอนนี้ฟางยู่เชินก็มีจิ้นกรุ๊ปคอยสนับสนุนอยู่”
“แต่ฟางยู่เชินมันเป็นแค่ไอ้สวะไม่ใช่เหรอครับ?” ฟางอี้หมิงขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ถ้ามันไม่สามารถจัดการกับปัญหาครั้งนี้ได้ กรรมการพวกนั้นก็จะรู้สึกผิดหวังในตัวมัน มีจิ้นกรุ๊ปหนุนหลังแล้วยังไง ถ้าความสามารถไม่ถึงก็คือไม่ผ่านอยู่ดี”
เมื่อฟางเฉิงได้ยินเขาพูดมาแบบนั้น ถึงได้โล่งอกลงไปหน่อย “แบบนี้มันดีซะยิ่งกว่าดีซะอีก ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ก็มีแค่รอเท่านั้น”
ฟางอี้หมิงใช้ความคิดไปแป๊บหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองเขา “พ่อครับ ช่วยทำอะไรให้ผมอีกอย่างนะครับ”
“เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่อง……” ฟางอี้หมิงเข้าออกไป กระซิบที่ข้างหูฟางเฉิง
ฟังจบ ฟางเฉิงก็พยักหน้า “ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
พอเห็นเขาจากไป ฟางอี้หมิงก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ ฟางยู่เชินเอ๋ยฟางยู่เชิน รอก่อนเถอะแก!
……
หลังกินข้าวเสร็จ เจียงสื้อสื้อก็กลับไปที่โรงพยาบาล ส่วนจิ้นเฟิงเฉินก็ไปที่ฟางซื่อกรุ๊ป
ฟางยู่เชินที่กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องโกดังที่ถูกไฟไหม้อยู่ จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เขาพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าเลยด้วยซ้ำ “เข้ามา”
นึกว่าคนที่เข้ามาเป็นส้งหยาว เขาจึงถามไปตรงๆ ว่า “มีธุระอะไร?”
ไม่มีคำตอบ
ว่าแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมา พอเห็นคนที่เข้ามาเป็นใคร เขาก็รีบยืนขึ้นทันที “น้องเขย มาได้ยังไงเนี่ย?”
“สื้อสื้อให้ผมมาเยี่ยมคุณครับ” จิ้นเฟิงเฉินมองเขาด้วยแววตาที่เรียบเฉย
“ใช่เรื่องของ หลี่เผิงรึเปล่าครับ?” ฟางยู่เชินถาม
จิ้นเฟิงเฉินตอบ “อืม” ไปคำหนึ่ง “เป็นยังไงบ้าง จับคนร้ายได้รึยังครับ?”
“ยังเลยครับ” ฟางยู่เชินถอนหายใจ “อีกฝ่ายได้ปลอมตัวเข้ามา แถมยังฉลาดมากด้วย สามารถหลบกล้องวงจรปิดทุกตัวที่มีได้เลย ตอนนี้ทางตำรวจเองก็วุ่นวายกันใหญ่เลยครับ”
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังปวดหัวมาก จิ้นเฟิงเฉินจึงได้พูดให้กำลังใจไปว่า “เดี๋ยวก็จับได้ครับ”
ฟางยู่เชินยักไหล่ “หวังว่านะ”
ความจริงเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ในเมื่ออีกฝ่ายตัดสินที่จะลงมือ ก็ต้องเตรียมการมาเป็นอย่างแน่นอน
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเข้าทางตระกูลย่วน ต้องหาช่องโหว่ให้เจอให้ได้
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
ฟางยู่เชินคิดๆ แล้วส่ายหน้า “ตอนนี้ยังครับ”
จู่ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา “แต่มีเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องให้คุณช่วยจริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!