เมื่อเห็นใบหน้าโมโหของฟางอี้หมิง รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางยู่เชินยิ่งกว้างเข้าไปใหญ่ “พี่ใหญ่ ผมก็แค่เดา พี่ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนี้หรอก”
ฟางอี้หมิงแค่นหัวเราะ “เดา? ฉันว่านายคิดกับฉันแบบนี้จริงๆ มากกว่า”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธ แล้วพูดต่อว่า “ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉันทุ่มเทเพื่อฟางซื่อไปเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว กลับถูกนายปลุกปั่นข่าวลือโดยไม่มีมูลหลักฐานแบบนี้ ฉันรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนตัวเองเลยจริงๆ”
ถ้าหากไม่รู้แต่แรกอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนทำเรื่องนี้ ฟางยู่เชินอาจจะเชื่อใน ‘การแสดงความจริงใจ’ ของเขาในตอนนี้ไปแล้ว
“นี่มันเรื่องคนละเรื่องกัน อีกอย่างผมก็ไม่ได้ปฏิเสธความทุ่มเทเพื่อฟางซื่อของพี่ ผมแค่อยากจะรู้ว่าคนในเครื่องบันทึกเสียงนี้พี่รู้จักไหม? สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของฟางยู่เชิน ฟางอี้หมิงหันหน้าหนี หลบสายตาของเขา “ฉันไม่รู้จักเขา และสิ่งที่เขาพูดก็ไม่เป็นความจริง”
“ก็ได้” ฟางยู่เชินพยักหน้า “ไม่รู้จักก็แล้วไป”
นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว
เขาก้าวเท้าเดินไปทางประตู ขณะที่กำลังเดินผ่านฟางอี้หมิง เขาก็ชะงักฝีเท้า เอียงศีรษะเอนไปทางเขา “พี่ใหญ่ ลืมบอกพี่ไปว่าคนที่ฉีดยาพิษหลี่เผิงคนนั้นใกล้จะจับตัวได้แล้วนะ ผมแทบจะทนรอไม่ไหวอยากจะรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครแล้ว”
ฟางอี้หมิงหน้าตึงเครียด มือทั้งสองข้างที่วางอยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น ข้อมือซีดขาวเกือบทั้งหมด
ส่วนฟางยู่เชินก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม
“ไปตายซะ!”
ฟางอี้หมิงเหวี่ยงแขนกวาดสิ่งของบนโต๊ะทำงานหล่นลงพื้นจนหมด
“ฟางยู่เชิน!” เขากัดฟันแน่นพลางพ่นสามคำนี้ออกมา สีหน้าดูมืดมนจนน่ากลัว
เรื่องนี้กำลังจะสำเร็จแล้วแท้ๆ…
ฟางอี้หมิงหลับตาลง กัดฟันเข้าหากันอย่างแรง
ทั้งหมดต้องโทษที่เขาประเมินฟางยู่เชินต่ำเกินไป และเป็นตัวเองที่ประมาทเกินไป ไม่ให้ย่วนชิงโซงซ่อนตัวให้ดี ถึงทำให้ฟางยู่เชินมีโอกาสใช้ประโยชน์จากมันได้
ไม่ได้!
เขาลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน ต้องคิดหาวิธีเอาตัวเองออกจากเรื่องนี้ไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างต้องจบเห่แน่
…
เจียงสื้อสื้อไปโรงพยาบาลแต่เช้า วันนี้เป็นวันที่ฟางเสว่มั่นจะเข้ารับการตรวจร่างกาย
เมื่อถึงโรงพยาบาล คนยังไม่ทันได้นั่งพักหายใจ พยาบาลก็เข้ามาบอกพวกเขาให้ไปต่อแถวสแกนร่างกายแล้ว
เจียงสื้อสื้อรีบพาฟางเสว่มั่นไปที่อาคารใหญ่ที่ตั้งจุดตรวจสแกนร่างกายของโรงพยาบาลทันที
หลังจากทำการตรวจจนครบชุดก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
เมื่อกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย ซ่างหยิงและจิ้นเฟิงเฉินต่างมาถึงกันหมดแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง? ตรวจเสร็จหมดแล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นพวกเธอกลับมา ซ่างหยิงก็รีบเข้ามาหา พลางช่วยพยุงฟางเสว่มั่นให้นั่งลงข้างเตียง พลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ตรวจเสร็จหมดแล้วค่ะ” เจียงสื้อสื้อรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออกจนหมดตัวยังไงอย่างนั้น ตัวอ่อนยวบยาบ ทรุดตัวลงบนโซฟาทันที
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามาหาเธอแล้วนั่งลง เปิดกระติกเก็บความร้อนที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นหยิบชามมาเทน้ำซุปลงไป
“ดื่มซุปก่อนสักหน่อย” มือหนึ่งของเขาถือชาม อีกมือถือช้อนตักซุป ตั้งใจจะป้อนเธอ
ที่นี่ยังมีแม่กับน้าสะใภ้เล็กอยู่ด้วย แถมหน้าเธอก็บางมาก ไหนจะกล้าปล่อยให้เขาป้อน
ด้วยเหตุนี้เธอจึงนั่งตัวตรง รับชามและช้อนตักซุปจากมือของเขา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันกินเองก็ได้”
เมื่อเห็นเธอดื่มน้ำซุปทีละคำๆ ดวงตาของจิ้นเฟิงเฉินก็เต็มไปด้วยความโปรดปรานลุ่มหลง
ฟางเสว่มั่นและซ่างหยิงมองหน้ากันยิ้มๆ
วิ่งไปวิ่งมาเกือบทั้งเช้า เจียงสื้อสื้อหิวมากจริงๆ เพียงไม่นานก็ดื่มซุปจนหมด
ซ่างหยิงเพิ่งจะตักซุปให้ฟางเสว่มั่น เห็นว่าเธอดื่มหมดจนเกลี้ยงจึงเอ่ยถามยิ้มๆ “เอาอีกหน่อยไหม?”
เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้น ฉีกยิ้ม “ไม่เอาแล้วค่ะ อีกเดี๋ยวมีคนชวนหนูไปทานข้าวด้วย”
“ใครเหรอ?”
“หยวนหยวน”
ทันทีที่พูดชื่อออกไป เจียงสื้อสื้อก็รีบปิดปากและมองไปทางจิ้นเฟิงเฉินทันที
เขาเพิ่งจะบอกว่าให้เธอพยายามไปมาหาสู่กับซ่างกวนหยวนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่วันนี้ตัวเองกลับจะไปทานอาหารกับเธอ แบบนี้เท่ากับไม่ได้เก็บคำพูดของเขาไปใส่ใจเลย
จิ้นเฟิงเฉินสีหน้านิ่งเรียบ มองไม่ออกว่าดีหรือโกรธแต่อย่างใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!