ตอน บทที่ 1044 ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ จาก ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 1044 ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายมนุษย์หมาป่าแวมไพร์ ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! ที่เขียนโดย เมียวเมียว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เมื่อซูน่าได้ยินประโยคนี้ ความรู้สึกของเธอก็พังทลายลงทันที เธอร้องห่มร้องไห้ตะโกนให้จิ่งหลิวเยว่ช่วยเธอ
แต่จิ่งหลิวเยว่ก็ปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี
“เธอทำเองนะ ฉะนั้นก็ยอมรับไปเถอะ”
“คุณจิ่ง คาดไม่ถึงเลยว่ากับเพื่อนของตัวเองคุณก็ยังไร้ความปรานีได้ถึงขนาดนี้” พิเอร์สกล่าวอย่างมีนัยนอกเหนือคำพูด
จิ่งหลิวเยว่ถอนหายใจออกมาหนักๆ “ในประเทศของเรามีคำโบราณกล่าวไว้ว่า จักรพรรดิกระทำความผิด โทษเท่าสามัญชน ความหมายก็คือ ในทางกฎหมายทุกคนเท่าเทียมกันทั้งหมด แม้ว่าคุณจะเป็นราชาจักรพรรดิแห่งสวรรค์ก็เหมือนกันหมด”
พิเอร์สทำหน้าเหมือนได้รับคำสั่งสอน “อย่างนี้นี่เอง”
“ดังนั้น ก็ให้เธอไปทบทวนตัวเองอยู่ในคุกเถอะ”
จิ่งหลิวเยว่มองไปที่ซูน่าอย่างลึกซึ้ง ส่วนซูน่านั้นใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อบวกกับแก้มบวมแดงของเธอแล้ว ดูจนตรอกหมดสภาพอย่างมาก
เขาแอบกำมือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงเอาไว้แน่น มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผมไปก่อนล่ะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน”
พิเอร์สส่งสัญญาณให้ลูกน้องขวางเขาไว้
จิ่งหลิวเยว่หันกลับมา พลางพูดติดตลกว่า “คุณพิเอร์ส นี่คุณอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้ผลไปเหรอ?”
พิเอร์สมองเขาพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม “คุณจิ่ง หวังว่าคุณคงไม่ได้หลอกผมนะ ไม่อย่างนั้น SAกรุ๊ปไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
“เรื่องนนี้คุณวางใจได้ ผมจะกล้าหลอกคุณได้ยังไง?” ใบหน้าของจิ่งหลิวเยว่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พิเอร์สพยักหน้า “คุณไปเถอะ”
จิ่งหลิวเยว่กวาดหางตามองผ่านซูน่า วินาทีที่หันหน้ากลับสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในชั่วพริบตา ก่อนจะสาวก้าวยาวออกไปทางด้านนอก
เมื่อลงมาถึงที่ล๊อบบี้ชั้นหนึ่ง ก็ได้พบกับหยุนโม่เหิงกับจี้ตงถางที่เร่งฝีเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบเข้าพอดี
“พวกนายมาที่นี่ทำไม?” จิ่งหลิวเยว่มองพวกเขาอย่างแปลกใจ
เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยเป็นปกติดี หยุนโม่เหิงกับจี้ตงถางต่างโล่งใจไปตามๆ กัน
“ก็กลัวว่านายจะเป็นอันตรายน่ะสิ” จี้ตงถางมองด้านหลังของเขา “ซูน่าล่ะ?”
“ชั้นบน”
หยุนโม่เหิงกับจี้ตงถางหันมองสบตากัน พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นายมาช่วยเธอไม่ใช่เหรอ?”
“ช่วยไม่ได้แล้ว” เมื่อจิ่งหลิวเยว่นึกถึงสภาพจนตรอกหมดสภาพของซูน่า ก็เกิดอาการใจร้อนอยู่ไม่เป็นสุขขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นนายตัดสินใจจะทิ้งเธอแล้ว?” จี้ตงถางถาม
“เปล่า”
จิ่งหลิวเยว่เอียงศีรษะมองข้างหลังของเขาเล็กน้อย พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับไปค่อยคุย มีคนจับตามองอยู่”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น จี้ตงถางกับหยุนโม่เหิงต่างพากันมองไปทางด้านหลังของเขา แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ห่างออกไปไม่ไกลมีคนสองคนยืนอยู่ มองดูเหมือนกำลังยืนคุยกัน แต่ในความเป็นจริงกำลังจับตามองพวกเขาอยู่
“ไปเถอะ”
จิ่งหลิวเยว่เดินนำออกจากโรงแรม คนอื่นๆ ก็รีบเดินตามออกไปทันที
เมื่อถึงบนรถ จิ่งหลิวเยว่ก็พูดขึ้นว่า “ตงถาง นายไปเมืองจิ่นด้วยตัวเองที เอาแฟลชไดรฟ์นี้ไปส่งให้เฟิงเฉิน”
“โอเค” จี้ตงถางพยักหน้าตอบ
ภายในรถจมลงสู่ความเงียบ นานกว่าจิ่งหลิวเยว่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง “พิเอร์สตัดสินใจจะส่งซูน่าไปให้ตำรวจ ยื่นฟ้องเธอในข้อหาขโมยความลับทางการค้า”
หยุนโม่เหิงเลิกคิ้วขึ้นในทันที “หมายความว่ารักษาชีวิตของซูน่าเอาไว้ได้แล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มออกมาเบาๆ “ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมต้องมีความหวัง ไว้ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยคิดหาวิธีประกันตัวเธอออกมา”
จิ่งหลิวเยว่พยักหน้า “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
ถึงแม้ว่าซูน่าจะเป็นเพียงลูกน้องที่เขาฝึกมาเพื่อทุ่มเททำงานสุดชีวิตให้กับเขาเท่านั้น แต่เธอก็มีดีมากพอที่ทำให้เขาไม่สามารถตัดใจทิ้งไปแบบนี้ได้
…
เมื่อฟางยู่เชินกลับมาถึงที่บริษัท อันดับแรกเขาได้ให้ส้งหยาวไปรวบรวมหลักฐานที่แสดงว่าฟางอี้หมิงได้นำยาไปขายให้กับ SAกรุ๊ปเป็นการส่วนตัว
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ฟางอี้หมิงยอมรับได้ว่าเขาเป็นคนสั่งให้หยางจื่อเฉินฉีดยาพิษให้หลี่เผิง แต่เรื่องการขายยาเป็นการส่วนตัวนี้ ทางคณะกรรมการบริษัทไม่มีทางละเว้นเขาง่ายๆ แน่นอน
“ท่านประธาน นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ” ส้งหยาวยื่นเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ให้ฟางยู่เชิน
…
หลังจากจิ้นเฟิงเฉินไปแล้ว เจียงสื้อสื้อก็ไม่มีเรี่ยวมีแรง เธอเอาแต่นอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งเช้า
แม้แต่อาหารเที่ยง ซ่างหยิงก็ต้องเอาไปส่งให้ถึงห้อง
“เด็กคนนี้ ขาดเฟิงเฉินไม่ได้เลยจริงๆ” ซ่างหยิงมองเจียงสื้อสื้อที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างจนปัญญาทั้งน่าขำ
เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้น เบะๆ ปาก “ไม่ใช่หนูขาดเขาไม่ได้ แต่มันไม่ชิน”
เธอเคยชินกับการมีจิ้นเฟิงเฉินอยู่ด้วยทุกวันไปแล้ว เมื่อจู่ๆ ก็ไม่มีเขามาอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันทำให้เธอไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ
“จ้ะ เป็นเพราะไม่ชินจ้ะ” ซ่างหยิงหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
เจียงสื้อสื้อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น้าสะใภ้เล็กคะ ยังไงหนูอยู่บ้านก็น่าเบื่อ ต่อไปให้หนูไปอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ที่โรงพยาบาลเถอะนะคะ”
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องสุขภาพของเธอ พวกเขาจึงไม่ยอมให้เธอไปที่โรงพยาบาล บอกว่าในโรงพยาบาลมีผู้ป่วยจำนวนมาก เชื้อโรคก็มาก กลัวว่าเธอจะติดเชื้อโรค ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของร่างกาย
ซ่างหยิงขมวดคิ้ว สีหน้าดูไม่ค่อยเต็มใจนัก
เจียงสื้อสื้อรีบโน้มน้าวต่อ “น้าสะใภ้เล็กคะ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ร่างกายของหนูไม่เป็นไรแล้ว อีกอย่างหนูก็ไม่ได้บอบบางขนาดนั้น จริงๆ นะคะ”
“ก่อนที่เฟิงเฉินจะไป เขากำชับให้น้าดูแลหนูให้ดีๆ” ซ่างหยิงกล่าว “ดังนั้นน้าจะปล่อยให้หนูมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีกไม่ได้เด็ดขาด”
“น้าสะใภ้เล็ก หนูขอร้องนะคะ” เจียงสื้อสื้อบืนปาก คร่ำครวญอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
“อยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ขนาดนี้เลยเหรอ?”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าอย่างแรง “แน่นอนสิคะ อีกอย่างหนูไม่ได้เจอแม่ตั้งหลายวันแล้ว หนูคิดถึงคุณแม่มากจริงๆ นะคะ”
เพื่อปกปิดเรื่องที่สุขภาพของเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก พวกเขาบอกกับแม่ของเธอว่า เธอเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อน อาจจะไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนหล่อนที่โรงพยาบาลหลายวัน
เห็นแก่คำวิงวอนอย่างน่าสงสารของเธอ ซ่างหยิงจึงยอมใจอ่อน “เอาเถอะ วันพรุ่งนี้น้าจะไปเป็นเพื่อนหนูด้วย”
เมื่อเห็นหล่อนตอบตกลงแล้ว รอยยิ้มอันแสนสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงสื้อสื้อในชั่วพริบตา “น้าสะใภ้เล็ก คุณน้าใจดีจริงๆ เลย”
“เอาล่ะ เลิกประจบได้แล้ว รีบทานข้าวให้หมดเร็วเข้า” ซ่างหยิงมองเธออย่างเคืองๆ
“รับทราบ” เจียงสื้อสื้อทำสัญญาณมืออย่างเชื่อฟัง ก่อนจะทานอาหารที่เหลือจนหมด ภายใต้สายตาแสนอ่อนโยนของซ่างหยิงที่กำลังมองอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!