เย่เสี่ยวอี้นึกไม่ถึงว่าเธอจะพูดตรงขนาดนี้ จากความอายก็เปลี่ยนเป็นความโกรธทันที เธอพูดออกมาเสียงดังว่า “เจียงสื้อสื้ออย่าคิดว่าเธอเป็นน้องสาวของยู่เชินแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรกับเธอนะ”
เจียงสื้อสื้อยิ้มออกมา “นี่มันเป็นธาตุของคุณจริงๆ ไม่ใช่เหรอคะ?”
“นี่เธอ!”
เย่เสี่ยวอี้เพิ่งจะรู้ตัว ว่าเธอนั้นตั้งใจยุให้ตัวเองโกรธ
“นี่คุณเย่ อย่าคิดว่ามาแกล้งทำตัวดีต่อหน้าฉัน แล้วฉันจะรู้สึกดีกับคุณนะคะ ครั้งแรกที่เราพบกัน ฉันก็ได้เห็นธาตุแท้จริงๆ ของคุณแล้วล่ะค่ะ”
เจียงสื้อสื้อเหลือบมองเธอย่างไม่ชอบใจไปแวบหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับเหลียงซินเวยว่า “ในเมื่อเธอชอบชุดนี้ งั้นฉันซื้อให้เธอแล้วกัน”
พอเหลียงซินเวยได้ยิน ก็รีบส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ซื้อตัวนี้แล้วค่ะ”
ของขวัญที่ราคาสูงขนาดนี้ เธอจะไปกล้ารับได้ยังไง
“ทำไมล่ะ?” เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว
“พี่สื้อสื้อคะ น้ำใจของพี่ฉันรับรู้ได้แล้ว แต่อันนี้มันแพงเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
พอได้ยินคำพูดของเหลียงซินเวย เย่เสี่ยวอี้ก็ส่งเสียง “ชิ” ออกมาทีหนึ่ง แล้วพูดเยาะเย้ยไปว่า “มีคนให้ก็รีบรับๆไว้ซะเพราะถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไปก็คงไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วหนักยิ่งกว่าเดิม “อย่าไปฟังที่คุณเย่พูดเลย นี่เป็นของขวัญที่ให้มอบให้เธอ จะถูกหรือแพงมันไม่สำคัญ”
เหลียงซินเวยหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มออกมา “ขอบคุณค่ะ พี่สื้อสื้อ แต่ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“แต่เธอชอบมันมากเลยไม่ใช่เหรอ?” เจียงสื้อสื้อแค่ไม่อยากให้เธอผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าเธอชอบชุดราตรีชุดนี้มาก
“ฉันชอบมันก็จริง” เหลียงซินเวยตอบไปอย่างใจเย็น “แต่ว่า มันเป็นเหมือนที่คุณเย่พูดนั่นแหละ ฉันรู้ตัวเองดี ว่าชุดราตรีตัวนี้ฉันใส่มันไม่ไหวหรอกค่ะ”
พูดจบ ไม่รอให้เจียงสื้อสื้อได้ทันตั้งตัว เธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องลองชุดแล้ว
พรึบ!
ผ้าม่านปิดลง ปิดกั้นจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
เหลียงซินเวยสัมผัสเสื้อผ้าบนร่างกายเบาๆ ใบหน้าที่งดงามแสดงความรู้สึกที่ผิดหวังออกมา
เธอชอบชุดนี้มากจริงๆ
แต่ว่า___
หายใจเข้าลึกๆ เธอเงยหน้าขึ้น มุมปากก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ชุดราตรีชุดนี้ก็เหมือนกับฟางยู่เชินเลย ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะสามารถไขว่คว้าถึงได้
……
เย่เสี่ยวอี้มองไปที่เจียงสื้อสื้อ แววตาเลิกลักไปมา แล้วพูดออกไปอย่างระมัดระวังว่า “สื้อสื้อ เมื่อกี้ฉันพูดออกไปเพราะความใจร้อน เธออย่าใส่ใจเลยนะ”
พอได้ยินแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็หันหน้ามาเหลือบมองเธอไปทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “เธอไม่มีค่าพอให้ฉันใส่ใจหรอก”
ความหมายของคำพูดนั่นก็คือ เธออย่าได้รู้สึกสำคัญตัวมากจนเกินไป
ในสายตาของเจียงสื้อสื้อนั้น เทียบกับคนแปลกหน้าที่เดินสวนกันยังไม่ได้เลย
อย่างน้อย คนแปลกหน้าที่เดินผ่านมาเธอยังจะหันไปมอง
แต่สำหรับเย่เสี่ยวอี้นั้น เธอไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าด้วยซ้ำ
เย่เสี่ยวอี้ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ “จริงเหรอ? งั้นก็ดี”
บรรยากาศเงียบลงไปทันที
เย่เสี่ยวอี้ขมวดคิ้ว สีหน้าค่อนข้างสับสน
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ชอบเจียงสื้อสื้อแต่ยังไงก็เป็นน้องสาวของยู่เชิน แถมยังเป็นภรรยาของประธานแห่งจิ้นซื่อกรุ๊ปอีก ถ้าไปทำให้ไม่พอใจเข้า มันก็ไม่เป็นผลดีกับเธอเหมือนกัน
การที่จะมีศัตรูน้อยลงสักคน มันก็เป็นผลดีกับเธอเหมือนกัน
ว่าแล้ว เธอก็เดินมาข้างๆ เจียงสื้อสื้อ ใบหน้าที่แต่งมาอย่างสะสวยก็ได้ยิ้มออกมาอย่างประจบประแจง “สื้อสื้อ เดี๋ยวเธอพอมีเวลารึเปล่า? เราไปก้นข้าวเที่ยงด้วยกันมั้ย?”
“ไม่ว่าง”
ง่ายๆ สองพยางค์ สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของเจียงสื้อสื้อในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
เย่เสี่ยวอี้รู้สึกโมโหอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงมันออกมาทางสีหน้า ยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม “สื้อสื้อ ต่อไปเราก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เราก็ควรทำดีต่อกันเข้าไว้นะ”
“ครอบครัวเดียวกันอย่างนั้นเหรอ?” เจียงสื้อสื้อหันหน้ามา แล้วยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ใครเป็นคนบอกเธอ ว่าต่อไปเราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน?”
“ก็……ก็ฉันจะได้หมั้นหมายกับยู่เชินแล้วไม่ใช่รึไง?”
“แล้วใครเป็นคนบอกเธออีกล่ะ ว่าพี่ชายจะหมั้นกับเธอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!