"ไม่มีค่าให้น่าเชื่อถือเหรอ" จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างเย็นชา "พวกเขาคิดว่าใช้วิธีแบบนี้ทำลายจิ้นกรุ๊ป แล้วคนอื่นก็จะร่วมมือกับพวกเขาอย่างนั้นเหรอ"
จิ้นเฟิงเหราลังเลอยู่สักพักถึงได้กล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง:"พี่ อันที่จริงก็ไม่ได้ไม่มีผลนะ"
ได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็ขมวดคิ้วขึ้น "หมายความว่าไง"
"ผู้รับผิดชอบของบริษัทนั้นบอกว่าจะขอคิดไตร่ตรองว่าจะร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ปหรือไม่"
จิ้นเฟิงเฉินแววตาเย็นชาเล็กน้อย น้ำเสียงเยือกเย็นดุจชั้นน้ำแข็ง "ร่วมมือกันมาก็หลายปี จิ้นกรุ๊ปแค่สะดุดขาล้มข้างหนึ่ง พวกเขาก็ขาดความเชื่อมั่นเสียแล้ว เห็นทีจะดูถูกผมมากเกินไปแล้ว"
"พี่ อย่าเพิ่งโกรธ บริษัทนี้ไม่ร่วมมือ ก็ยังมีบริษัทอื่นนะ"
จิ้นเฟิงเหรากำลังปลอบประโลมเขา และก็เป็นการปลอบประโลมตัวเอง
"ทางที่ดีที่สุดทำให้แต่ละการร่วมมือจงดำเนินการต่อไปให้ได้" จิ้นเฟิงเฉินกล่าว "แต่ละการร่วมมือของบริษัท จะให้หยุดไปง่ายๆ ไม่ได้"
จิ้นเฟิงเหราพยักหน้า "เข้าใจแล้วครับ ผมจะเจรจากับพวกเขาต่อไป"
"ลำบากนายแล้ว"
หลายวันมานี้ ถ้าหากว่าไม่มีความช่วยเหลือของเฟิงเหรากับกู้เนี่ยน อาศัยแค่เพียงเขาคนเดียวก็คงไม่สามารถทำเรื่องราวได้มากขนาดนั้น
จิ้นเฟิงเหราเลิกคิ้ว "พี่ ถ้าหากพี่คิดว่าผมลำบากจริงๆ เมื่อจัดการเรื่องราวทุกอย่างแล้ว พี่ให้ผมหยุดพักผ่อนสักสองสามวันสิ"
"ได้" จิ้นเฟิงเฉินรับปากอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
ก่อนหน้านี้ที่ได้รับปากว่าจะให้วันหยุดยาวแก่เขาก็หาโอกาสไม่ได้สักที ครั้งนี้อาศัยโอกาสนี้ปล่อยให้เขาได้ไปพักผ่อนยาวๆ ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนหวั่นชีง
"ขอบคุณครับพี่"
เมื่อได้ยินว่าจะได้มีวันหยุดพักผ่อน จิ้นเฟิงเหราก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเต็มไปด้วยพละกำลัง เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นสามารถจัดการได้ทุกอย่างให้อยู่หมัดได้
......
เรื่องภายนอกยังไม่ทันได้จัดการ เรื่องภายในก็มาอีกแล้ว
วันนี้ เหล่าผู้ถือหุ้นส่วนมาหาจิ้นเฟิงเฉินที่บริษัทเพื่อต้องการคำอธิบาย
"เฟิงเฉิน อย่าหาว่าลุงๆ ไม่ไว้หน้าเลยนะ เรื่องนี้กระทบต่อผลประโยชน์ของทุกคน นายจะต้องให้คำอธิบายแก่พวกเรา"
หัวโจกผู้ถือหุ้นเปิดอกอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อเขาพูดเสร็จ ในห้องประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างหันไปมองจิ้นเฟิงเฉินที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
จิ้นเฟิงเฉินก้มหน้า นิ้วข้อมือที่เห็นได้อย่างชัดเจนเคาะอยู่บนโต๊ะ ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเขาตอนนี้ได้
เห็นเขาเงียบกริบโดยไม่เปล่งเสียงใดๆ เหล่าผู้ถือหุ้นส่วนจึงเกิดความหงุดหงิด และบ่นพึมพำงึมงำกันออกมา
"เฟิงเฉิน นี่นายหมายความว่าอย่างไรกันแน่ คิดว่าความเงียบจะจัดการทุกอย่างได้เหรอ"
"จิ้นกรุ๊ปนั้นมีเลือดเนื้อของพวกเราส่วนหนึ่ง พวกเรามอบหมายให้นายดูแล เพราะเชื่อมั่นในตัวนาย นายจะทำให้พวกเราผิดหวังแบบนี้เหรอ!"
"พูดกับเขาเรื่องนี้ทำไมกัน เขาความจำเสื่อมแล้ว จำเรื่องราวแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ยังจะพูดถึงเรื่องอดีตอีกทำไม"
มีผู้ถือหุ้นส่วนบางคนเอ่ยคำพูดอย่างไม่เกรงใจ
เวลานี้ จิ้นเฟิงเฉินได้เงยหน้าขึ้น แววตาที่ไร้อุณหภูมิจ้องมาทางผู้ถือหุ้นส่วนคนนั้น แล้วกล่าวอย่างเย็นยะเยือก "ลุงเฉินครับ หรือการที่ผมความจำเสื่อม แปลว่าผมไม่ใช่คนของตระกูลจิ้นแล้วอย่างนั้นเหรอครับ"
ลุงเฉินเบนสายตาหลบเขาด้วยความระแวง น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น "ผมไม่ปฏิเสธว่าเฟิงเฉินเมื่อก่อนนั้นเก่งกาจมาก เขาบริหารบริษัทแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีปัญหา แต่ว่าครั้งนี้นายกลับผิดพลาด ก็แสดงว่าเป็นเพราะว่านายความจำเสื่อม ไม่เหมือนแต่ก่อน ถึงได้เกิดปัญหาใหญ่โตเช่นนี้ไง!"
จิ้นเฟิงเฉินเงียบอยู่ชั่วครู่ถึงได้กล่าวขึ้น :"ดังนั้น ตอนนี้พวกคุณคือไม่เชื่อมั่นผมอย่างนั้นใช่ไหม"
เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้ารูปหล่อเรียบนิ่งไร้คลื่นใดๆ คู่ดวงตาเย็นเยือกดุจใบมีด
แรงกดดันจากเขาได้แผ่กระจาย เหล่าผู้ถือหุ้นส่วนต่างจ้องมองสบตากัน ไม่มีใครกล้าที่จะตอบคำถามของเขา
"ไม่ตอบก็คือยอมรับ" จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างเย็นชา แววตาเย็นยะเยือก "ถ้าหากว่าพวกท่านคิดว่าการที่ผมความจำเสื่อม แล้วทำให้ไม่เชื่อมั่นในตัวผม อย่างนั้นพวกท่านก็วางใจได้เลย ถึงผมจะความจำเสื่อมไม่ได้แปลว่าความสามารถของผมจะเสื่อมตามไปด้วย"
คำพูดของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อย่างเสียงดัง:"พวกท่านวางใจได้เลย ผมขอเวลาเพียงสามวัน ผมจะสามารถทำให้โครงการฟื้นคืนสู่ปกติ"
ลุงเฉินส่งเสียงฮึดฮัด "ถ้าสามวันแล้วยังกลับคืนสู่ปกติไม่ได้ นายจะว่าอย่างไร"
จิ้นเฟิงเฉินรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าเขาจะต้องถามแบบนี้ จึงได้กล่าวอย่างใจเย็น:"อย่างนั้นก็เรียกเรียกประชุมคณะกรรมการและเลือกประธานคนใหม่ได้เลย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!