ตอน บทที่ 422 ล่อลวงและข่มขู่ จาก ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 422 ล่อลวงและข่มขู่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายมนุษย์หมาป่าแวมไพร์ ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! ที่เขียนโดย เมียวเมียว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 422 ล่อลวงและข่มขู่
ทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไร ราวกับเวลาหยุดนิ่งลง
แต่กลิ่นอายอันแข็งแกร่งดุดันของจิ้นเฟิงเฉิน กดดันจนผู้หญิงคนนั้นหายใจแทบไม่ออก เธอเป็นคนเอ่ยปากก่อน “ทำไมเป็นคุณอีกแล้ว คุณยังคิดว่าฉันจะทำอะไรอีกหรือ หรือว่าคุณคิดว่าคุณรู้อะไรมา”
“ผมคือจิ้นเฟิงเฉิน และวันนี้ผู้หญิงที่คุณคิดจะฆ่าคือภรรยาผม” จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองเธออย่างเย็นชา
หลังจากได้ยินชื่อของเขาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็อดตกใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
นี่คือจิ้นเฟิงเฉินหรือนี่…...
ในเมืองใหญ่แห่งนี้ ความเป็นอยู่ของพวกเขาทำได้เพียงแหงนมองขึ้นฟ้า
ไม่คิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่เธอได้นั่งอยู่ด้วยกันกับเขา
เมื่อรู้ฐานะของเขาแล้ว หญิงสาวก็รีบปกปิดความตื่นตระหนกของตัวเองไว้ ไม่เพียงไม่ลนลาน แต่ยังเปลี่ยนท่าทางการเจรจาเป็นอีกแบบหนึ่ง พลางมองตรงไปที่จิ้นเฟิงเฉิน
"คุณอยากรู้อะไรจากฉัน"
เธอรู้ ที่จิ้นเฟิงเฉินมาหาเธอเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะร้องขอ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางมาพบคนต่ำต้อยอย่างเธอด้วยตัวเองแน่
"บอกคนที่อยู่เบื้องหลังของคุณมา แล้วผมจะทำให้คุณสมปรารถนา"
เมื่อเห็นเธอไม่ยี่หระ จิ้นเฟิงเฉินเองก็พูดอย่างไม่เร่งรีบ
“ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร อะไรคือเบื้องหลัง ตอนที่ฉันลักพาตัวเธอ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นภรรยาของคุณ
ก็แค่เห็นหน้าตาเธอสวยดี การแต่งตัวไม่ธรรมดา จึงคิดจะลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ คุณก็รู้ว่าที่พวกเราทำอย่างนี้ จะไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร"
คำพูดของผู้หญิงคนนั้นไร้ช่องโหว่ เพราะต้องการจะแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้เอง
จิ้นเฟิงเฉินไม่โกรธ หยิบเอกสารกองหนึ่งออกมาจากข้างตัวแล้วโยนมันลงบนโต๊ะ
"อู๋ซิน อายุ 19 ปี สูง 175 เซนติเมตร น้ำหนัก 65 กิโลกรัม มีปานอยู่บนหลัง ชอบเล่นบาสเกตบอล"
หลังผู้หญิงคนนั้นฟังจิ้นเฟิงเฉินพูดสติก็กระเจิดกระเจิงไปหมด จิ้นเฟิงเฉินพูดออกมาคำหนึ่ง ความตื่นตระหนกในแววตาของเธอก็เพิ่มขึ้นครั้งหนึ่ง
คิดอยากจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่เพราะมือถูกใส่กุญแจมือไว้ จึงดีดให้นั่งกลับไปเหมือนเดิม
เธอทำได้เพียงถลึงตาใส่ จ้องจิ้นเฟิงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย กัดฟันพูดว่า "พวกคุณจะทำอะไรลูกชายฉัน"
เมื่อได้ยิน จิ้นเฟิงเฉินก็ยิ้ม แล้วหยิบเอกสารบนโต๊ะโยนลงถังขยะที่อยู่ด้านข้าง
เขาลุกขึ้น ยืนอยู่ข้างตัวผู้หญิงคนนั้น พลางพูดเบาๆ ว่า "สำหรับผมแล้วการหาข้อมูลเหล่านี้มันง่ายมาก คุณคงไม่อยากให้อนาคตลูกชายของคุณต้องจบลงแค่นี้หรอกนะ อย่างไรเสียตอนนี้เขายังอยู่ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่……"
จิ้นเฟิงเฉินหยุดลงแค่นั้น หัวใจของผู้หญิงก็เต้นโลดขึ้นมา
"สิ่งที่คุณทำทำร้ายภรรยาของผม ผมไม่มีทางหยุดแค่นี้แน่ หากคุณไม่อยากพูด ผมก็จะไม่บังคับ เพียงแต่ลูกชายของคุณจะได้รับ 'การดูแลเป็นพิเศษ' เท่านั้น”
ในคำพูดของจิ้นเฟิงเฉินแฝงไปด้วยการข่มขู่อย่างเต็มเปี่ยม ผู้หญิงคนนั้นไม่กล้าพูดโต้แย้งอะไรออกมาสักคำ
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบตามองเธออย่างผู้อยู่เหนือกว่า “ผมคิดว่าในฐานะแม่ คุณควรคิดถึงอนาคตของลูกชายให้ดี หากคุณพูด ผมไม่เพียงสามารถให้เงินคุณได้สองเท่า ยังส่งลูกชายคุณไปอยู่ต่างประเทศได้ด้วย แต่ยังส่งลูกชายของคุณไปต่างประเทศด้วย
ทำให้ลูกชายคุณได้รับการศึกษาที่ดี คุณพยายามหาเงินขนาดนี้ คงอยากให้ลูกชายคุณมีชีวิตที่ดีสินะ ขอเพียงคุณบอกมาว่าใครอยู่เบื้องหลัง เงื่อนไขเหล่านี้ผมสามารถตอบสนองให้คุณได้"
หลังพูดจบจิ้นเฟิงเฉินก็กลับไปนั่งที่เดิม จ้องมองผู้หญิงคนนั้นราวกับเหยี่ยว
ถูกจิ้นเฟิงเฉินจ้องมองเช่นนี้ หน้าผากของผู้หญิงก็มีเหงื่อเม็ดโตหยดลงมา
เมื่อเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มนึกทบทวนอย่างจริงจัง
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็นึกอะไรบางอย่างได้ "ตอนนั้นเราเจอกันในร้านกาแฟ ที่นั่นน่าจะมีกล้องวงจรปิด น่าจะได้เบาะแสอะไรบ้าง"
จิ้นเฟิงเฉินมองเธอแวบหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ในเวลานี้เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน ทำได้แต่เลือกที่จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับมองเขาด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับว่าเธอไม่ได้เสแสร้ง
จิ้นเฟิงเฉินได้แต่กล่าวว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจะไปพิสูจน์ดู หากว่ามันถูกต้อง ผมจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ ไม่มีทางเอาเปรียบคุณแน่"
เขาพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย แม้จะเป็นคำสัญญา แต่น้ำเสียงที่เขาใช้พูดออกมา ราวกับว่ามันเป็นเพียงคำพูดเย็นชาที่เสียดแทงจิตใจ
ผู้หญิงคนนั้นถูกท่าทางของเขาทำให้ตกใจ พลางมองไปด้านข้างอย่างขลาดกลัว
เมื่อเทียบกับท่าทางถือมีดเข้าหาเจียงสื้อสื้อในเวลานั้นแล้ว ช่างแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้สนใจอะไรเธออีก ตอนนี้เขาต้องการเพียงจับตัวคนบงการออกมาให้ได้ ทำให้เจียงสื้อสื้อวางใจ
ดังนั้นเมื่อเขาพูดธุระจบ ก็จากไปทันที
หลังจากออกมา จิ้นเฟิงเฉิงก็พูดกับกู้เนี่ยนด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอกับคนบงการพบกันในร้านกาแฟ อีกเดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่ของร้านกาแฟให้นาย นายไปขอดูกล้องวงจรปิด แล้วมาบอกฉัน"
กู้เนี่ยนพยักหน้า ดูที่อยู่ในโทรศัพท์ แล้วขับรถตรงไปที่ร้านกาแฟ
จิ้นเฟิงเฉินวางใจในความสามารถต่อการจัดการเรื่องต่างๆ ของเขา ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ในสถานีตำรวจ รอให้กู้เนี่ยนกลับมาเสียเลย
ตำรวจถูกท่าทางนั้นของเขาทำเอาตกใจไม่น้อย กลัวว่าจะถูกร้องเรียน จึงรีบพูดว่า "คุณชายจิ้น เรื่องนี้สถานีตำรวจของเราสามารถส่งคนไปสืบได้ ไม่ต้องให้ผู้ช่วยของคุณไปเองหรอกครับ? "
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!