หลังจากเจียงสื้อสื้อกินเข้าไปแล้ว ไม่ได้มีการตอบสนองที่ไม่ดี ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายสบายขึ้นบ้าง
หัวใจของจิ้นเฟิงเฉินที่เคยกังวลในตอนนี้พลันกลับมาเป็นปกติ เขาเก็บยาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มันเสีย
ถึงแม้ว่ากินยาไปแล้วร่างกายจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่เจียงสื้อสื้อกลับไม่ได้ดีใจอย่างนั้น
เธอขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นอย่างนั้นแล้วจิ้นเฟิงเฉินจึงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “กำลังเป็นห่วงฝู้จิงเหวินเหรอ”
“อืม” เจียงสื้อสื้อไม่ได้ปฏิเสธ “เพื่อฉันแล้วเขาถึงได้ไปที่ห้องวิจัย ถ้าเขาถูกจับได้ ชีวิตก็จะตกอยู่ในอันตราย”
ที่เธอกลายเป็นแบบนี้ ฝู้จิงเหวินก็มีส่วนรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ถ้าเขาไม่ช่วยพวกเธอสองแม่ลูก ตอนนี้พวกเธอก็อาจจะไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
และคราวนี้เขาแอบเข้าไปในห้องวิจัยของเบอร์เกนโดยไม่คำนึงถึงอันตราย เพื่อต้องการช่วยเธอ
ถ้าเป็นเพราะเธอที่ทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นก็ไม่สามารถสู้หน้าพ่อแม่ของเขาได้ และก็จะอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
“สื้อสื้อ” จิ้นเฟิงเฉินจับไหล่เธอ มองตรงไปยังดวงตาเธอที่เต็มไปด้วยความกังวล พูดเน้นย้ำชัดเจนทีละคำทีละประโยค “ฝู้จิงเหวินเป็นคนฉลาด ก่อนที่จะวิจัยยาแก้พิษให้คุณออกมาได้ เขาจะไม่เป็นอะไร”
ทำไมฟังดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องนิดหน่อยล่ะ
เจียงสื้อสื้อเพิ่งอยากจะอ้าปาก แต่ก็ถูกเขาใช้นิ้วมาแตะปิดริมฝีปากเอาไว้
“ความหมายของผมคือคุณต้องเชื่อใจเขา เขาจะไม่เป็นไร คุณก็อย่าแบกรับความกังวลใจเกินไปนัก โอเคไหม”
เจียงสื้อสื้อเม้มปากแน่น ไม่ได้พูดอะไร
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มเล็กน้อย “ยัยโง่ ถ้าคุณไม่เชื่อเขาก็ต้องเชื่อผม ผมจะให้คนจับตามองทางฝั่งเบอร์เกนเอง”
ความหมายโดยนัยคือเขาจะไม่ยอมให้ฝู้จิงเหวินเกิดเรื่อง
“ขอบคุณค่ะเฟิงเฉิน” เจียงสื้อสื้อกางแขนออกโอบรอบเอวเขา ซบศีรษะบนไหล่ของเขาพลางพึมพำว่า “ขอโทษนะ ทั้งหมดเป็นฉันเองที่ทำให้พวกคุณเดือดร้อน”
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอติดเชื้อไวรัส พวกเขาก็ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเธอครั้งแล้วครั้งเล่า และก็ไม่จำเป็นต้องคอยอกสั่นขวัญแขวน
“ไม่ใช่ความผิดของคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเธออย่างอ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนหยดน้ำ “อย่าโทษตัวเอง มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย”
ทั้งคู่กอดกันเงียบๆ บรรยากาศอบอุ่นไหลเวียนเนิบช้ารอบกายคนสองคน
……
ไม่ง่ายที่แม่ฝู้จะมาสักครั้ง เจียงสื้อสื้อจึงเสนอให้เธออยู่ต่ออีกสักสองสามวัน
“ได้จ้ะ แล้วแต่หนูเลย”
แม่ฝู้กอดเถียนเถียนพลางพยักหน้ายิ้ม
ที่จริงเธอก็ไม่อยากจากเถียนเถียนไป
“คุณย่าคะ งั้นคืนนี้นอนกับหนูนะคะ ได้ไหม” ใบหน้าเล็กของเถียนเถียนเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างตั้งตาคอย
แม่ฝู้บีบแก้มของเธอ สีหน้าเต็มไปด้วยความรัก “ได้จ้ะ”
มองดูคนแก่กับเด็กโต้ตอบกันแล้วเจียงสื้อสื้อก็ยิ้ม สายตาแฝงความอ่อนโยน
แม่จิ้นมีความสุขมากกับการมาของแม่ฝู้ ปกติเธออยู่กับการปลูกดอกไม้และอ่อนหนังสือ ซึ่งน่าเบื่อหน่าย ตอนนี้มีเพื่อนคุยเพิ่มขึ้นมา แล้วจะไม่มีความสุขได้อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าตอนนั้นเป็นครอบครัวฝู้ที่ช่วยเหลือสื้อสื้อกับเถียนเถียน พ่อจิ้นแม่จิ้นจึงรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจอย่างมาก คิดหาวิธีต่างๆ ตอบแทนแม่ฝู้
แต่ถูกแม่ฝู้ปฏิเสธทั้งหมด
“สื้อสื้อก็เหมือนลูกสาวของฉัน เถียนเถียนเองก็เหมือนหลานสาวของฉัน พวกเธอสบายดีก็พอแล้วค่ะ” แม่ฝู้มองเจียงสื้อสื้อกับเถียนเถียนอย่างอ่อนโยน
ความรักที่เธอมีต่อพวกเธอทั้งหมดล้วนแสดงออกบนใบหน้า
พ่อจิ้นกับแม่จิ้นมองหน้ากัน ก่อนที่แม่จิ้นจะเสนอว่า “งั้นเอาแบบนี้เถอะค่ะ ช่วงเวลานี้ที่คุณอยู่เมืองจิ่น ก็ให้สื้อสื้อออกไปเดินเที่ยวเป็นเพื่อนคุณนะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแม่ฝู้จึงมองไปยังเจียงสื้อสื้อ “ได้ไหมจ๊ะสื้อสื้อ”
เจียงสื้อสื้อยิ้ม “ได้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
แม่ฝู้ยิ้มรับ “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนพวกคุณแล้วค่ะ”
ไม่กี่วันต่อมา เจียงสื้อสื้อพาแม่ฝู้ไปเที่ยวชมตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะสั้น ห้าวันต่อมา แม่ฝู้ก็จะต้องกลับไปฝรั่งเศสแล้ว
“คุณย่าอย่าไปนะคะ” เถียนเถียนไม่อยากให้แม่ฝู้จากไป กอดเธอพร้อมกับน้ำตาเม็ดใหญ่ไหลหยดแหมะๆ คร่ำครวญอย่างสุดแสนเสียใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!