บทที่ 140 ขี้ขลาดก่อนสู้
ปัจจุบันในโลกของศิลปะการต่อสู้ ผู้ที่เป็นจอมยุทธ์อย่างแท้จริงส่วนใหญ่ก็มักจะมีการสืบทอดกันมา ไม่ใช่เป็นการสืบทอดนิกายก็คือการสืบทอดทางตระกูล นิกายและตระกูลก็จะเลือกเด็กที่มีรากเคล้าที่ดีเป็นพิเศษออกมา แล้วตอนที่เด็กเริ่มมีอายุห้าหกขวบก็จะให้เด็กหมองยาสมุนไพร และสร้างรากฐานวิธีศิลปะให้ แล้วตอนอายุเจ็ดแปดขวบ ก็เริ่มให้พวกเขาฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อสู้อย่างเป็นทางการ และฝึกฝนให้เนื้อหนังแข็งแรง และสร้างรากฐานให้แข็งแรง
ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูหนาว ก็ต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างขะมักเขม้นทุกวัน และอย่างน้อยต้องฝึกสิบสองชั่วโมงต่อวัน
ต่อให้จะเป็นการฝึกฝนที่โหดเหี้ยมมาก และมีคนมากมายที่อาจจะไม่สามารถกลายเป็นจอมยุทธ์ได้ มีเพียงพร้อมสวรรค์และโอกาส
สามารถทำให้เห็นได้ว่า หนทางของการฝึกศิลปะการต่อสู้มียากเย็นแค่ไหน
เฉินเฟิงมาถึงตรงประตู ก็ถูกลูกศิษย์พวกนั้นดักไว้
“วันนี้สถานที่ฝึกวิทยายุทธไม่ทำการ ถ้าคุณอยากจะมาสมัครเป็นศิษย์ที่นี่ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นวันอื่น" เยาวชนคนหนึ่งที่สูงใหญ่จึงคลายยิ้มอ่อนๆ แล้วพูดขึ้น เฉินเฟิงไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นเยาวชนที่สูงใหญ่คนนี้จึงคิดว่าเขาเป็นแค่บุคคลธรรมดาที่จะมาเรียนวิชาการต่อสู้ที่สถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน
เฉินเฟิงส่ายหัว แล้วยิ้มพลางพูดขึ้น "ฉันไม่ได้จะมาสมัครเป็นลูกศิษย์ของสถานที่ฝึกวิทยายุทธ ฉันมาหาคนของสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกัง"
"สถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกัง?" เยาวชนร่างสูงใหญ่รู้สึกตกตะลึง จู่ๆ น้ำเสียงก็ฟังดูไม่เป็นมิตร "คุณคือคนของสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกัง? "
"ไม่ใช่" เฉินเฟิงส่ายหัวต่อแล้วพูดขึ้น "ฉันกับจินลิ่วอาน มีเรื่องส่วนตัวต้องจัดการ"
"งั้นคุณรอก่อน ฉันจะไปถามเจ้าของสถานที่ฝึกวิทยายุทธ"
ในสถานที่ฝึกวิทยายุทธ จึงมีชายวัยกลางคนที่ท่าทางดูน่าเกรงขามนั่งอยู่บนพรมของศิลปะการต่อสู้ และตรงหน้าชายวัยกลางคน ก็มีเยาวชนทั้งชายและหญิงกำลังสวมใส่ชุดฝึกศิลปะการต่อสู้กำลังทำสีหน้าที่จริงจังอยู่เจ็ดแปดคน กำลังฟังชายวัยกลางคนสอนอยู่
"ครั้งนี้จินลิ่วอานมีการเตรียมการมา ลูกศิษย์พวกนั้นของเขา ทีแรกก็ไม่ใช่คนที่ต่อสู้ง่ายๆ อยู่แล้ว ครั้งนี้จินลิ่วอานยิ่งกลายเป็นจอมยุทธ์อ้านจิ้ง และถือว่าเข้าใจศิลปะการต่อสู้ขึ้นอย่างลึกซึ้งอีกขั้น ดังนั้นเขาต้องถ่ายโอนทักษะการออกแรงให้เหล่าลูกศิษย์ได้ลึกซึ้งกว่าเดิม เดี๋ยวตอนที่พวกเธอขึ้นมาบนเวที ถ้าไม่สามารถเอาชนะได้ ก็ยอมแพ้เลยทีเดียว ห้ามจู่โจมอย่างฝืนทนเด็ดขาด! " ชายวัยกลางคนจึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลแล้วกำชับลูกศิษย์ตรงหน้า แต่ก่อนเขากับจินลิ่วอานเป็นจอมยุทธ์ขั้นหมิงจิ้ง ดังนั้นสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันยังสามารถแยกตัวออกจากสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกัง ทุกๆ ปีทั้งสองสถานที่ฝึกวิทยายุทธก็จะมีการประลองกัน และต่างฝ่ายต่างชนะบ้างแพ้บ้าง ทว่าปีนี้ จินลิ่วอานกลับสามารถเลื่อนทักษะไปเป็นอ้านจิ้ง ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
การประลองครั้งนี้สามารถบอกได้ว่าสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกังมีความมั่นใจที่จะชนะเป็นอย่างสูง
"อาจารย์ครับ การประลองครั้งนี้สามารถเลื่อนไปอีกไม่กี่วันไหมครับ? " เยาวชนคนหนึ่งที่รูปร่างซูบผอมถามด้วยเสียงอ่อนแอ เขามีชื่อว่าเฝิงหยวน และเป็นลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดในซูเห้าหรัน ไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งจะเลื่อนขั้นไปเป็นหมิงจิ้ง นอกจากจะฝึกฝนวิชากับคนในสำนักเดียวกันแล้ว เขายังไม่เคยได้ประลองกับจอมยุทธ์คนไหนเลย ทว่าการประลองครั้งนี้ เขากลับต้องขึ้นเวทีด้วย ทีแรกเฝิงหยวนก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจอยู่แล้วที่ต้องไปประลองกับลูกศิษย์ของจินลิ่วอาน
ซูเห้าหรันขมวดคิ้วขึ้น ในใจลึกๆ รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ยังไม่ทันได้สู้กันเลยก็ขี้ขลาดแล้ว ยังไม่ได้เริ่มประลอง ก็แพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าเกิดเขาขึ้นเวทีประลองในสภาพแบบนี้ กลัวว่าจะแม้แต่ท่าไม้ตายหนึ่งยกของคนอื่นก็คงทนไม่ไหว
"ศิษย์น้อง หนึ่งปีมีหนึ่งครั้งที่ต้องประลอง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เลื่อนเวลาไม่ได้ อีกอย่างต่อให้สามารถเลื่อนเวลา เราจะเลื่อนเวลา แล้วสถานที่ฝึกวิทยายุทธอื่นจะคิดยังไง? พวกเขาต้องบอกว่าเราสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันขี้ขลาด แล้วไม่กล้าประลองเพราะกลัวแพ้ เวลานั้น ศิษย์น้องจะให้อาจารย์ไปเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? " จ้าวตงว่ากล่าวตำหนิด้วยเสียงเย็นชา เขาคือลูกศิษย์ที่โตที่สุดของซูเห้าหรัน และเป็นเพียงคนเดียวที่คาดว่าจะสามารถเอาชนะลูกศิษย์ที่มีวิชาในระดับขั้นกลางของหมิงจิ้ง และถือว่าเป็นตัวยงที่มีพรสวรรค์
สำหรับการประลองครั้งนี้ ถึงแม้ซูเห้าหรันจะไม่ได้มองอย่างแม่นยำ ทว่าเขากลับรู้สึกมั่นใจมาก
"อืม ศิษย์พี่พูดถูก แพ้ให้คนอื่นได้ แต่ยังไงก็ห้ามเป็นที่โหล่ อีกอย่าง จินลิ่วอานเลื่อนขั้นไปเป็นจอมยุทธ์ระดับอ้านจิ้งแล้ว และไม่ใช่เหล่าลูกศิษย์ของเขาเลื่อนขั้นวิชาไปเป็นอ้านจิ้งสักหน่อย เราคงไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะ" เวลานี้ คนที่สวมใส่ชุดศิลปะการต่อสู้สีขาว จากนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างดีและหน้าตาสวยพูดขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...