บทที่ 514 วังโฉงหยางผู้รู้หน้าไม่รู้ใจ
“แบบนี้มันดูไม่ดีมั้ง...” เผิงจื๋อหลินทำหน้าเหมือนลำบากใจ ทว่าในใจก็ดีใจเหมือนลิงโลด ไม่พูดไม่ได้เลย พวกเจ้าหน้าที่วิสามัญทั่วไปยังให้เกียรติไว้หน้าเขาอยู่มาก
ตามหลักการปฏิบัติตามกฎระเบียบแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพิ้งเย้นฟางน้องสาวแท้ๆ ของเขา ก็ต้องค้นตัวด้วย
ทว่าตอนนี้ เจ้าหน้าที่วิสามัญทั่วไปยังไว้หน้าเขาอยู่
“ฮ่าๆ พี่เผิงก็ เราต่างเป็นคนกันเองทั้งนั้น ไม่มีอะไรไม่ดีเลยพี่” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ยิ้มให้ ตระกูลผู้มีชื่อเสียงอย่างเพิ้งเย้นฟางแบบนี้ ก่อนหน้านี้ก็เข้าไปกันหลายรอบแล้ว คนลักษณะแบบนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ค้นตัวเลย
ถึงแม้ว่าจะมีความเกรงใจให้เกียรติกันก็ตาม แต่สิ่งที่มันมากกว่านั้น ที่ทำให้พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่า คนเหล่านี้เมื่อเข้าไปแล้วจะไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน
เพราะว่าถ้าคนทั่วไปจับพลัดจับผลูมีปัญหาขึ้นมา คนที่ต้องรับผิดชอบเป็นอันดับแรก ย่อมเป็นคนที่พาพวกเขาเข้าไป แต่ไม่ใช่พวกเขาที่เป็นคนตรวจสอบ
“งั้นดี พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ”
เผิงจื๋อหลินมองมาทางพวกเพิ้งเย้นฟางอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นพวกนั้นก็เดินตามเผิงจื๋อหลินเข้าไปในเขตชุมชนวิลล่า
ด้านในวิลล่าในเวลานี้ บรรยากาศครึกครื้นเกินกว่าปกติ
เจ็ดถึงแปดวันก่อนหน้านี้ ทางสมาคมการค้าจงไห่กับสมาคมการค้าเชียสุ่ยได้จัดทำเวทีมวยเฉพาะกิจหนึ่งสนาม
เวทีมวยเฉพาะกิจความสูงประมาณสองเมตร ความกว้างของทั้งสี่มุม ยี่สิบเมตร
เมื่อเอามารวมกันทั้งหมด พื้นที่รวม 400 ตารางเมตร
สำหรับเวทีมวยของจอมยุทธ์ที่ลงเดิมพันการประลองฝีมือนั้น ต้องเป็นเวทีที่ไม่เหมือนกับเวทีมวยตามปกติ
ฐานหลักของเวทีมวยเฉพาะกิจนี้ ใช้ท่อนเหล็กแข็งจริงๆ เอามาสร้าง
แน่นอนว่า ไม่ใช่ท่อนเหล็กที่เป็นท่อนๆ แต่เป็นเหล็กที่ถูกหลอมออกมาเป็นแผ่นๆ แล้วเอามาปะติดปะต่อรวมกันอย่างเป็นระเบียบ
แต่ว่าเห็นภาพเป็นแบบนี้ การสร้างเวทีมวยในตอนแรก ก็ใช้เงินของทั้งสองสมาคมไปไม่น้อยทีเดียว
ลองประมาณราคาแบบภาพรวมเอา อย่างน้องก็ 20 ล้านไปแล้วแหละ
ด้วยศักยภาพทางด้านการเงินที่หมุนเวียนของทั้งสองสมาคม การสร้างเวทีมวยเฉพาะกิจนั้น การสร้างหอประชุมก็ไม่สามารถขาดเหลือได้
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับเวทีมวยแล้ว การสร้างหอประชุมเฉพาะกิจนั้น ยิ่งลดระดับความยากง่ายลงไปนิดหน่อย
ทว่าความธรรมดานี้นั้น ก็แค่พูดเปรียบเปรยให้ฟังเฉยๆ
เพราะถึงยังไงการแข่งขันในวันนี้มีจอมยุทธ์เข้ามาร่วมตั้งมากมาย ถ้าตัวหอประชุมสร้างได้ธรรมดาตามนั้นจริง เช่นนั้นหน้าตาของทั้งสองสมาคมอย่างน้อยก็รู้สึกว่าไม่ค่อยดูดีสักเท่าไหร่
ในเวลานั้นเอง บรรดาจอมยุทธ์ของทั้งสี่ตระกูลของทางสมาคมจงไห่ก็มารวมตัวกันครบทุกคนแล้ว
เฉินเฟิงก็เห็นวังโฉงหยางแล้ว
อายุของเขาราว 50 กว่าเห็นจะได้ นิสัยดูคนเป็นคนสูงศักดิ์
บริเวณด้านซ้ายของใบหน้ามีรอยบาดแผลยาวเป็นนิ้ว ทุกครั้งที่เขายิ้มออกมา รอยแผลเป็นอันนี้ก็ผลุบต่ำลงจนเป็นรอยยิ้มของเขาไปด้วย มันยิ่งทำให้คนรู้สึกต่างรู้สึกว่าเขาดูดุร้าย
“พี่วัง เมื่อคืนนี้เที่ยวได้สนุกเต็มอิ่มไหม?” เมื่อเห็นวังโฉงหยาง ฉู่ยี่เฟยเป็นคนทักทายก่อน ถึงแม้ว่าตำแหน่งของเขากับวังโฉงหยางจะห่างกันไม่มากนัก แต่เมื่อนับอายุแล้ว วังโฉงหยางอายุมากกว่าเขาเล็กน้อย ดังนั้นในทางความรู้สึกแล้ว เขาย่อมต้องเรียกวังโฉงหยางว่าพี่อยู่แล้ว
“ฮ่าๆ เมื่อวานน้องฉู่ไม่ได้ไปเที่ยวกับข้าน้อยวัง แล้วข้าน้อยวังสนุกเต็มที่ได้ยังไง?” วังโฉงหยางยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมทั้งนำพาให้คนรู้สึกสบายใจอีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...