สรุปเนื้อหา บทที่ 748 ความพ่ายแพ้ของจั่วจู้ – ลูกเขยมังกร โดย เมฆทอง
บท บทที่ 748 ความพ่ายแพ้ของจั่วจู้ ของ ลูกเขยมังกร ในหมวดนิยายใช้ชีวิต เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย เมฆทอง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
บทที่ 748 ความพ่ายแพ้ของจั่วจู้
จั่วจู้สีหน้ามืดครึ้ม สิ้นหวัง อึ้ง ไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้เขารู้สึกราวกับฝันไป เขาไม่อยากยอมรับความจริงนี้
ทว่าถึงจั่วจู้จะไม่อยากยอมรับทว่าก็ต้องยอมรับ หลังจากร่างของเขาล้มลงกับพื้นความเจ็บปวดก็ตามมา และคอยย้ำเตือนเขาว่าเรื่องตรงหน้านี้คือเรื่องจริง
จั่วจู้พ่ายแพ้แล้ว ถึงแม้เขาจะใช้ท่าไม้ตายทั้งสองอย่างผ่าคลื่นลมและท่าไม้ตายแบ่งคลื่นซึ่งเป็นท่าไม้ตายสูงสุดของญี่ปุ่น อีกทั้งยังฉีดยาพันธุกรรมแล้ว ทว่าเขาก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี
เขาไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับผู้อาวุโสกว่า ทว่าเขาแพ้ให้กับเฉินเฟิงซึ่งอยู่ในรุ่นเดียวกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เขายากที่จะยอมรับ
“มัน……เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!”
จั่วจู้มองมือทั้งสองข้างของตนด้วยสายตาเหม่อลอยอย่างไม่เข้าใจ
ตอนนี้มีเสียงโห่ร้องดังขึ้น เฉินเฟิงไม่ได้ปล่อยเขาไปทว่าเดินใกล้เข้ามาพร้อมกับกำปั้นเหล็ก เพื่อให้บทเรียนแก่เขา
ช่วงวิกฤต จั่วจู้เงยหน้าทันทีพร้อมกับยกมือขึ้นมาบังตามสัญชาตญาณ ทว่าตอนนี้พละกำลังของเขาน้อยเต็มที อีกทั้งพลังภายในก็ไม่เหลือแล้ว แล้วแค่การยกมือขึ้นมาบังจะต้านเฉินเฟิงได้อย่างไร
เฉินเฟิงหรี่ตามอง การเคลื่อนไหวของจั่วจู้ในตอนนี้เชื่องช้ามากในสายตาของเขา ราวกับเขานึกอะไรขึ้นได้ เพียงเสี้ยววินาทีร่างของเขาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของจั่วจู้ คลายหมัดออกก่อนจะฟาดลงไปบนหน้าของอีกฝ่าย
“เพียะ!”
เสียงเพียะดังขึ้นอย่างชัดเจน
จั่วจู้ถูกเฉินเฟิงตบหน้าครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาไม่มีพลังภายในเหลือแล้ว ไม่อย่างนั้นสามารถอาศัยพลังภายในปกป้องเพื่อลดการบาดเจ็บได้
จั่วจู้โอดครวญครั้งหนึ่ง กระดูกใบหน้าด้านซ้ายแตกออก ใบหน้าครึ่งหนึ่งยุบลงไป เลือดไหลเนื้อเละดูน่าสังเวชเป็นอย่างมาก
เห็นท่าทีน่าสังเวชของจั่วจู้ นี่ยังดีที่เฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงไม่ได้ใช้พลังภายใน ไม่อย่างนั้นล่ะก็จั่วจู้คงไม่ใช่แค่หน้ายุบทว่าอาจถึงขั้นตายเลยก็ว่าได้
“เกิด……เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้ชมในสนามทำหน้างงกันหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อสักครู่เฉินเฟิงเคลื่อนไหวเร็วมาก เห็นร่างแค่แวบเดียวจั่วจู้ก็ลงไปกองกับพื้นพร้อมกับใบหน้าซ้ายที่ยุบลงไป
ผู้ชมบางส่วนเห็นการแข่งขันของจอมยุทธ์มามากมาย ทว่าภาพเหตุการณ์แบบนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เฉินเฟิงตบจั่วจู้เหมือนการตบเพื่อสั่งสอนลูกชายที่ไม่เชื่อฟัง ตบทีเดียวทำเอาจั่วจู้ลงไปกองกับพื้น
“ไอ้หยา……”
จั่วจู้คือใคร เขาคืออัจฉริยะของวงการศิลปะการต่อสู้ที่หาตัวจับยากของญี่ปุ่น เขาฉายแววด้านนี้ตั้งแต่เด็ก ตอนหลังกงปุ่นเหย่อู่เห็นแววของเขาจึงถ่ายทอดวิชาศิลปะการต่อสู้ให้กับเขา และได้กลายเป็นศิษย์คนแรกของอันดับหนึ่งด้านศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เขาคิดว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่น เป็นผู้แข็งแกร่งในรุ่นเยาวชน ทว่าคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ โดยเฉพาะความอัปยศต่อหน้าคนมากมายแบบนี้เขาไม่อาจยอมรับได้ และทนไม่ได้เช่นกัน
โบราณกล่าวไว้ว่า ตีคนอย่าตีที่หน้า เวลาด่าอย่าแฉข้อเสีย วันนี้แผนของเขาล่มไม่เป็นท่าเพราะการตบทีเดียวจากเฉินเฟิง
สัมผัสกับความอัปยศในใจ จั่วจู้คำรามครั้งหนึ่งก่อนจะดิ้นรนที่จะลุกขึ้นเพื่อสู้กับเฉินเฟิง
ทว่าเมื่อเขาเพิ่งลุกขึ้นยืนได้ เฉินเฟิงมือไวตาไว ฉับพลันก็ยื่นขาไปเตะช่วงน่องของจั่วจู้
“คุกเข่า!”
เฉินเฟิงยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงกร๊อบดังขึ้น กระดูกช่วงน่องของจั่วจู้แตกหัก ร่างกายสูญเสียการทรงตัวจนคุกเข่าลง
ข้อสาม หากไม่ใช่เพราะนายฉีดยาพันธุกรรมเพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้ ในช่วงแรกนายไม่สามารถตีเสมอฉันได้ด้วยซ้ำ!
ความจริงแล้วเฉินเฟิงพูดถูก การแข่งขันนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก อีกทั้งไม่ว่ากระบวนท่าไหนในศิลปะการต่อสู้ล้วนมีทักษะการหลบหลีกทั้งนั้น น้อยมากที่จะมีท่าที่ต้องรุกอย่างเดียว เพราะว่าการหลบหลีกคือพื้นฐานของการฝึกฝนการต่อสู้
เพราะหากคุณหลบไม่เป็น เช่นนั้นคนที่ตายเร็วที่สุดก็คือคุณ มีเพียงการหลบการโจมตีของอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้น คุณถึงจะสามารถโจมตีคู่ต่อสู้กลับได้
สำหรับจอมยุทธ์ที่ความสามารถแข็งแกร่งมากแล้วต้องประชันกับจอมยุทธ์ที่อ่อนชั้นกว่านั้นต้องอาศัยพลังในการเอาชนะอย่างแน่นอน
ทว่าหากความสามารถของทั้งสองฝ่ายไม่ห่างชั้นกันมาก เช่นนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะหรือทักษะการต่อสู้นั่นเอง ซึ่งการหลบหลีกก็เป็นหนึ่งในนั้น นี่ไม่ถือเป็นการเล่นทีเผลอ หากคุณเก่งจริงก็แค่โจมตีอีกฝ่ายให้ได้ก็จบแล้ว จะต้องหาข้ออ้างทำไม
จั่วจู้ในตอนนี้ไฟโทสะกำลังลุกโชน พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ เขาเลอะเทอะทว่าผู้ชมยังมีสติ
“ไอ้หยา คิดไม่ถึงเลยว่าจั่วจู้จะใจแคบได้ขนาดนี้ หน้าไม่อายจริงๆ!”
“ใช่ เดิมทีคิดว่าเขาเป็นชายชาตินักรบ แต่แพ้การแข่งขันแล้วกลับไม่ยอมรับ ช่างน่าดูถูกจริง!”
“จั่วจู้พูดอยู่ปาวๆว่าเฉินเฟิงขี้ขลาด เป็นความอัปยศของวงการศิลปะการต่อสู้ประเทศหวา เท่าที่เห็นในตอนนี้จั่วจู้ต่างหากคือคนที่ทำให้วงการศิลปะการต่อสู้ของประเทศญี่ปุ่นต้องขายหน้า”
เหล่าผู้ชมต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งล้วนเป็นการเย้ยหยันจั่วจู้ที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เสียงเยาะเย้ยเหล่านั้นลอยเข้าหูของจั่วจู้ทำให้เขาต้องกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดลงไป เขารู้ถึงหลักการที่ว่าผู้ชนะถูกเสมอ คำพูดของผู้แพ้มักจะไม่มีน้ำหนัก ไม่มีคนเห็นค่าและไม่มีคนฟัง
“เห้อ ดูสภาพนายตอนนี้สิ น่าสงสารขนาดไหน ก่อนการแข่งขันนายคงคิดไม่ถึงสินะว่าตัวเองจะมีจุดจบแบบนี้!”
เฉินเฟิงมีสีหน้าเย้ยหยันพลางเอ่ยเยาะเย้ย “ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม ฉันสามารถฆ่านายได้อย่างง่ายดายเหมือนฆ่ามดตัวหนึ่ง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...