แต่คิดไม่ถึงว่ายามผู้นั้นก็ยังคงยืนหยัดตามความคิดของตน
“ฉันออกไปจากตรงนี้ไม่ได้จริง ๆ พวกเรามีกฎระเบียบ ฉันมีหน้าที่ตรวจสอบคนที่สามารถเข้าออกได้ ไม่ว่าใครก็ตามที่มา หากว่าไม่มีการแจ้งมาที่ฉันก็ไม่มีทางที่จะให้เขาเข้าไปด้านในได้”
เขาพูดออกมาแบบนี้ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความโมโหขึ้น ชายวัยกลางคนที่สุภาพและหนักแน่นก็สะบัดมือแล้วเดินกลับมายืนอยู่ด้านหลัง
แต่ก็มีคนเข้ามาพูดคุยกับยามต่ออีก
“นายพูดว่าไม่สามารถให้คนเข้าไปด้านในได้ แต่ว่าทำไมไอ้คนบ้านนอกสองคนนั้นถึงเข้าไปได้ล่ะ นายจงใจที่จะลำเอียงใช่ไหม”
ตอนที่ผู้หญิงร่างผอมบางคนนั้นชี้ไปยังเฉินเฟิง เฉินเฟิงก็ยังไม่ทันได้พูดตอบกลับออกไป
ยามก็หันไปมองที่เฉินเฟิง เขารู้จักเฉินเฟิง แต่ไม่ทราบว่าตอนนี้เฉินเฟิงเป็นเจ้าของสวนแห่งนี้ แต่ที่เฉินเฟิงเข้าไปด้านในได้นั้นก็เพราะได้รับการอนุญาตแล้ว เขาก็หมดปัญญา ทำได้เพียงพูดตามความจริงให้กับคนนั้นฟัง
“พวกเขาเป็นสมาชิกของที่นี่ ดังนั้นฉันจึงปล่อยให้เขาเข้าไปด้านในได้”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนโวยวายกันยกใหญ่
“นายพูดอะไรนะ สองคนนี้ที่แต่งตัวอย่างกับคนบ้านนอกก็เป็นสมาชิกของที่ด้วยงั้นเหรอ นายล้อเล่นกันใช่ไหม ฮ่าฮ่า ฉันไม่เคยได้ฟังเรื่องตลกขบขันอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย”
เธอทำท่าทางงุนงง แสดงออกได้เหมือนกับที่ตัวเองรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าขันจริง ๆ
เฉินเฟิงเอือมระอาเป็นอย่างมาก ที่พูดว่าเขาเป็นคนบ้านนอกซึ่งอาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยชอบที่จะแต่งตัว แต่หากพูดว่าหลินหวั่นชิงด้วยล่ะก็คงจะเกินไปหน่อยแล้ว
ตอนนี้หลินหวั่นชิงอยู่ในชุดว่ายน้ำที่เย็นสบาย และเป็นชุดที่สั่งตัดขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งบุคลิกท่าทางดูดีกว่าพวกคุณน้าคุณป้าที่ยืนอยู่หน้าประตูหลายเท่า ผิวขาวเนียนเรียวขายาวและงดงาม โดยที่หลินหวั่นชิวมีดีกว่าในทุกส่วน
เฉินเฟิงเดินเข้ามาด้วยความไม่พอใจ
“เมื่อครู่คุณว่าใครที่เป็นคนบ้านนอก? พวกคุณเข้ามาไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้ามา ที่นี่คือคลับส่วนบุคคล ไม่ได้รับอนุญาตไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ไม่ใช่ว่าคนบ้านนอกที่ไหนก็จะสามารถเข้ามาด้านในได้”
คำพูดของเฉินเฟิงฟังแล้วยิ่งรุนแรงกว่า หญิงวัยกลางคนผู้นั้นยกมือขึ้น แล้วชี้ไปทางเฉินเฟิงและพูดว่า
“นายคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ที่นี่คือยันเจียง บุคคลที่มีหน้ามีตาในยันเจียงไม่มีใครที่ฉันไม่รู้จัก แต่ว่าฉันไม่เคยเห็นนายมาก่อน นายไม่ใช่คนบ้านนอกแล้วนายเป็นใครกัน”
พูดได้อย่างมีเหตุมีผล ละเอียดรอบคอบ
เฉินเฟิงยิ้มและพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า
“คนบ้านนอกอยู่หน้าประตู คนบ้านนอกอยู่ในประตู นี่มันมองเห็นก็ทราบดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ”
หญิงผู้นั้นเผยอปากขึ้น โมโหจนสั่นไปทั้งตัว เตรียมที่พุ่งเข้ามาแล้ว
ก็เป็นยามผู้นั้นที่ได้ขัดขวางเธอเอาไว้
“นายปล่อยให้ฉันเข้าไป นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? หากนายยังกล้าที่จะขัดขวางฉันอีก ฉันจะให้นายรับผิดชอบในสิ่งที่นายกระทำขึ้น”
และก็ยังคงไม่พูดว่าตัวเองเป็นใคร แต่ก็พูดติดปากอยู่ตลอดว่าตัวเองเป็นใคร
เฉินเฟิงโอบกอดหลินหวั่นชิวเข้าสู่อ้อมอก แล้วก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ในโซนพักผ่อน และก็มองดูพวกคนที่ถูกขัดขวางเอาไว้อยู่ด้านนอกประตู
“นายทำได้ดีมาก ฉันจะจดจำนายเอาไว้”
อีกคนหนึ่งโมโหสุดขีด เขาจึงได้พูดแบบนี้กับยามผู้นั้นเอาไว้
แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ยามก็ยังคงปฏิบัติตามหน้าที่เท่าที่ตนเองจะปฏิบัติได้
สุดท้ายก็ยังไม่มีวิธีใดที่จะสามารถเข้ามาด้านในได้ คนเหล่านั้นก็ยังคงยืนกันอยู่ด้านนอก และมีคนหนึ่งได้เริ่มโทรศัพท์ขึ้น โดยไม่รู้ว่ากำลังโทรศัพท์ไปหาใคร
พุดคุยอยู่ตรงนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง และดูเหมือนว่าจะจัดการสำเร็จแล้ว
เฉินเฟิงมองดูเขาที่มีสีหน้าภาคภูมิใจ เหมือนกับว่าอีกไม่นานก็สามารถเข้ามาด้านในได้แล้ว เฉินเฟิงจึงได้กระซิบถามหลินหวั่นชิวขึ้น
“คุณคิดว่าเขาหาใครเพื่อที่จะมาช่วยเหลือ หากว่าเมื่อถึงเวลานั้นเห็นฉันอยู่ที่นี่ คนผู้นั้นคงจะตกใจจนปัสสาวะรดใส่กางเกงเลยไหม”
หลินหวั่นชิวหยิกไปที่ตัวของเฉินเฟิงเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างออดอ้อนว่า
“คุณทำไมถึงเป็นแบบนี้”
เฉินเฟิงพูดอธิบายว่า
“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ฉันก็แค่นั่งดูอยู่ที่ตรงนี้ก็เท่านั้น”
“แต่แค่คุณมองดู ก็เลวร้ายพออยู่แล้ว”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกัน ก็มีคนเดินมาเข้าหาจริง ๆ
เฉินเฟิงมองดูคนที่มานั้น ทำให้เขาขำขันขึ้นเล็กน้อย
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นไอ้อ้วน
เขานั่งอยู่ที่ตรงนั้น ส่วนไอ้อ้วนเองก็มองเห็นว่าเฉินเฟิงอยู่ที่ตรงนั้น ขณะเดียวกันเขาก็เห็นพวกคนที่ยืนอยู่หน้าประตู แต่เหมือนว่าจะไม่สนใจเรื่องที่คนอื่นขอความช่วยเหลือแล้ว โดยหันหลังเตรียมที่จะวิ่งหนีไป
“นายมานี่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร