เน่หวาเฟิงได้แต่พยักหน้า เขาคิดในใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทรมานเฉินเฟิงยังไง
พอผู้อาวุธโสของสำนักเทียนซานที่ไม่เคยลงเขามาก่อนลงเขามาข่าวก็ไปถึงหูของเจี่ยตงอย่างรวดเร็ว
เจี่ยว่างเล่ที่นั่งอยู่ข้างๆเจี่ยตง ดูเหมือนว่าเขาจะกังวลเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้ผู้อาวุธโสของสำนักเทียบซานลงมาด้วยตัวเอง แต่แกรู้สึกว่าตัวเองสามารถรับมือกับพวกเขาได้ ถ้าเกิดเขาสังเกตเห็นความผิดปรกติ ต่อให้พ่อแกก็ไม่สามารถปกป้องแกได้”
เจี่ยตงกลับมองลุงตัวเองด้วยความสงบ ไม่ได้รู้สึกร้อนรนแต่อย่างใด ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
“ใจของคนเราเกิดมาจากเลือดเนื้อ ต่อให้เขาจะเป็นถึงมหาปรมาจารย์ แต่คงไม่สามารถฝึกฝนจนมีสัมผัสที่เจ็ด เรื่องนี้ผมเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะมองออก จะต้องเชื่ออย่างแน่นอนว่าเฉินเฟิงเป็นคนทำร้ายพี่น้องตระกูลเน่ จนสุดท้ายถึงแก่ชีวิต”
เจี่ยว่างเล่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี แต่ก็รู้ว่าต่อให้ตัวเองพูดยังไงก็คงเปล่าประโยชน์
เน่หวาเฟิงมาถึงเมืองหลวง สิ่งที่แรกที่เขาทำก็คือไปดูศพของเด็กทั้งสองคน
ส่วนเจี่ยตงเองก็ตามหลังเน่หวาเฟิงจะไป ระยะเวลาของพวกเขาทั้งสองคนห่างกันแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่ทักทายกัน ก็ตามหลังของเน่หวาเฟิงอยู่ตลอด ไปตรวจสอบศพของพี่น้องตระกูลเน่พร้อมกัน
พอรอจนเห็นศพถูกวางอยู่ในห้องเก็บศพที่หนาวเหน็บ ความรู้สึกของเน่หวาเฟิงก็ไม่สามารถยับยั้งได้อีกต่อไป ความเจ็บปวดจากการเสียลูกชาย ความเจ็บปวดจากการเสียหลานชาย ไม่ได้น้อยลงไปเพียงเพราะว่าเขาเป็นมหาปรมาจารย์
เขายืนอยู่ข้างๆศพ แววตาแห้งเหือด ใบหน้าที่สูญเสียความสดใสทำให้รู้สึกแก่ขึ้นเยอะมาก
เจี่ยตงเอาแต่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาไม่ได้ร้องไห้ และไม่ได้โทษเฉินเฟิง แต่สิ่งหน้าก็เต็มไปด้วยเจ็บปวดเหมือนกัน
ผ่านไปอย่างยาวนาน เน่หวาเฟิงถึงค่อยๆยับยั้งอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลออกในใจจนแห้งเหือดไปนานแล้ว เขาอยากจะคืนความเป็นธรรมให้กับลูกชายตัวเองมากกว่า
เขาเดินไปหาเจี่ยตง คนนี้คือคนที่อยู่ข้างพี่น้องตระกูลเน่มาโดยตลอด เขาได้แต่ถามด้วยเสียงที่เย็นชาว่า
“เจ้ามีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับข้ารึเปล่า”
สิ่งที่เจี่ยตงรอคอยก็คือประโยคแบบนี้
แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้น หรือแสดงอารมณ์แต่อย่างใด เอาแต่จมอยู่ในความโศ้กเศร้าที่ต้องสูญเสียเพื่อนของตัวเอง
ในตอนที่เน่หวาเฟิงถามเขา เขาก็ลังเลอยู่หลายวินาทีกว่าจะตอบสนอง
“ฉันผิดต่อพวกเขา”
เน่หวาเฟิงมองเ ถ้าเกิดสำหรับเขาแล้วตอนนี้อยากจะฉีกเฉินเฟิงออกเป็นชิ้นๆ งั้นความรู้สึกที่เขามีต่อเจี่ยตงก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเจี่ยตง พี่น้องตระกูลเน่ก็คงไม่ต้องตาย เหมือนกัน
แต่ว่าในโลกนี้ไม่มีถ้าเกิดเยอะขนาดนั้น
เน่หวาเฟิงพูดด้วยเสียงที่เย็นชาว่า
“เจ้ารู้ตัวก็ดีแล้ว”
เจี่ยตงไม่พูดอะไร ราวกับเด็กที่ยอมรับความผิดของตัวเองจากใจจริง
“ข้าจะพาพวกเขากลับไป แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าตามหาเจ้าหมอนั่น ข้าจะทำให้เจ้านั่นได้รู้จักความเจ็บปวดที่แท้จริงว่าเป็นยังไง”
เจี่ยตงพยักหน้า ยังคงพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า
“ฉันทำผิดต่อพี่น้องทั้งสองท่าน เพราะงั้นเรื่องครั้งนี้ ฉันจะช่วยท่านอย่างเต็มความสามารถ แต่ว่าเฉินเฟิงไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ เขา......”
เน่หวาเฟิงกลับไม่รอให้เขาพูดจนจบประโยค พูดตัดบทพูดของเขาว่า
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้าแค่ช่วยข้าตามหาที่อยู่ของมันก็พอแล้ว เรื่องที่เหลือข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
เจี่ยตงเงียบปาก เขาอยากให้เน่หวาเฟิงกับเฉินเฟิงทั้งสองต่อสู้จนตายไปข้างนึงจนแทบทนไม่ไหว บนโลกนี้ไม่ต้องการยอดฝีมือมากขนาดนั้น
แต่แน่นอนว่าไม่สามารถแสดงออกมาได้ตรงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...