“พ่อ มีคนมา ทำไมถึงไม่รินชาให้พวกเขาล่ะ ทั้งสองคนนั่งก่อนเถอะครับ พ่อผมเป็นคนนิสัยแบบนี้แหละ ทั้งสองอย่าได้ถือสาเลยครับ” พูดไป หยางสิงอี้พลางเลื่อนเก้าอี้ส่งไปให้เฉินเฟิงพวกเขาสองคน
เฉินเฟิงยิ้มรับเก้าอี้มา แต่ชิงจือกลับยังคงแสดงท่าทีนิ่งเฉยจ้องมองไปยังชายชรา ราวกับว่ากำลังเฝ้ารอคำตอบจากเขา
หยางสิงอี้ได้แต่มองชิงจืออย่างนิ่งๆ เขารู้สึกประหม่าด้วยความไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เมื่อชายชรารับรู้ถึงสายตาของชิงจือ เขาจึงหันไปบอกกับชิงจือ
“นั่งเถอะ ฉันยังต้องใช้เวลาตัดสินใจสักหน่อย”
“หวังว่าคุณจะตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ฉันให้เวลาคุณคิดหนึ่งวัน วันพรุ่งนี้ฉันจะกลับมาที่นี่อีกที”
ท้ายที่สุดชิงจือที่ยังไม่ทันได้นั่งเก้าอี้ที่หยางสิงอี้ส่งให้ก็หันไปพูดกับเฉินเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน
“พวกเราไปกันเถอะ”
เฉินเฟิงที่เพิ่งนั่งลงไปได้ไม่นานถึงกับตกใจ เขาหันไปมองหยางสิงอี้ด้วยสีหน้าขอโทษ ก่อนจะเดินตามชิงจือที่เดินออกไปก่อนแล้ว
กระทั่งทั้งสองเดินออกมาด้านนอก เฉินเฟิงจึงถามชิงจือด้วยความสงสัย
“พวกคุณต้องการทำอะไรกันแน่ พวกคุณทั้งสองล้วนเป็นมหาปรมาจารย์ ยังต้องมีการชุมนุมกันอีกงั้นหรอ?”
ความมีอยู่ของมหาปรมาจารย์เป็นเรื่องที่ผู้คนต่างจับตามองมาโดยตลอด ถ้าหากตอนนี้แม้แต่พวกเขาเองยังเริ่มมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างแล้ว อย่างนั้นก็แสดงว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นต้องเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก รวมทั้งเฉินเฟิงด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับการตอบสนองของชิงจือที่มีต่อเฉินเฟิงแล้ว คำตอบของครั้งนี้ก็ยังคงเป็นดังเช่นครั้งก่อนๆ
เธอมุ่งหน้าตรงไปยังที่จอดรถโดยไม่มีคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น
แต่หลังจากที่พวกเจาเดินออกมาได้ไม่นาน หยางสิงอี้ก็วิ่งตามพร้อมกับตะโกนเรียกพวกเขา
“ทั้งสองท่าน รอก่อนครับ”
เฉินเฟิงชะงักฝีเท้าลง แต่ชิงจือดูเหมือนจะไม่สนใจและยังคงมุ่งหน้าตรงไปยังรถที่จอดเอาไว้
เฉินเฟิงที่อยู่ตรงนั้นรอจนหยางชิงอี้เข้ามาใกล้ จึงถามกลับทันที
“มีอะไรหรือเปล่า?พ่อของคุณมีเรื่องอะไรมาบอกงั้นหรอ?”
หยางสิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก เขาวิ่งมาโดยไม่มีอาการหืดหอบใดๆ แสดงว่าเขาคงจะผ่านการฝึกวิชาต่อสู้มาแล้วแน่นอน
หลังจากที่ได้ยินคำถามของเฉินเฟิง หยางสิงอี้จึงตอบกลับ
“พ่อผมให้มาบอกกับผู้หญิงคนเมื่อกี้นี้ว่าวันเดียวก็เพียงพอแล้ว”
เฉินเฟิงไม่เข้าใจความหมายของหยางสิงอี้ แค่คำพูดนี้ประโยคเดียวทำไมถึงต้องให้มาบอกอีกครั้งด้วย แต่หยางสิงอี้ที่พูดเพียงเท่านี้ก็เดินหันหลังกลับไปแล้ว
เฉินเฟิงพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำพูดนี้ โดยไตร่ตรองพร้อมกับเรื่องทั้งหมดที่เขาได้ยินมา แต่ราวกับว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เขาจึงทำได้เพียงเดินกลับไปที่รถเท่านั้น
เมื่อขึ้นไปบนรถก็เห็นชิงจือที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งหน้ารถ เอนตัวลงไปบนเบาะพร้อมกับหลับตาราวกับกำลังทำสมาธิ
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นพูดขึ้นมา
“เมื่อกี้นี้เขามาบอกว่า พ่อของเขาบอกว่าวันเดียวก็เพียงพอแล้ว”
ชิงจือที่ได้ยินไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาขึ้นมา เธอเพียงแต่ตอบกลับเขาด้วยความเฉยเมยเท่านั้น
“ตาแก่นี้ยิ่งมีชีวิตอยู่ ชีวิตยิ่งถอยลงคลองไปเรื่อยๆ เลย”
สุดท้ายเฉินเฟิงก็ยังคงไม่เข้าใจถึงความคลุมเครือระหว่างพวกเขาสองคนสักที แต่ถึงอย่างนั้นเขายังคงต้องขับรถออกไปเพื่อตามหาที่พักคืนนี้สำหรับพวกเขาก่อน เพราะพรุ่งนี้พวกเขายังต้องกลับมาที่นี่อีกแน่นอน
แต่เมืองที่ใกล้ที่สุดพวกเขาในตอนนี้ยังต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางไป ดังนั้นเฉินเฟิงจึงตัดสินใจหาโรงแรมที่อยู่ใกล้แถวนี้ให้พวกเขาแทน ซึ่งโรงแรมแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด ถึงแม้จะดูเก่าแก่มีความผุพังแล้วก็ตาม
แต่ด้วยเดิมทีเป็นการเดินทางออกนอกบ้าน ฉะนั้นจึงได้แต่ปล่อยไปตามมีตามเกิดเท่านั้น
ทางด้านชิงจือเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรแบบนี้ เพราะแม้แต่ในหุบเขาลึกเธอยังสามารถใช้ชีวิตมาแล้ว สถานที่แค่นี้จึงไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร
พวกเขาสองคนพักแยกกันคนละห้อง โดยไม่ได้มีเหตุการณ์เหมือนพวกนิยายโบราณที่ว่าโรงแรมเผอิญเหลือห้องว่างแค่ห้องเดียวอะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา
ทั้งสองแยกย้ายกันไปพักผ่อน เฝ้ารอวันพรุ่งนี้ที่จะเดินทางกลับไปหาชายชราอีกครั้ง
แต่หลังจากที่เฉินเฟิงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็มีคนเข้ามาเคาะประตูห้องของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...