เขาพูดขึ้น: “บางทีพวกเรากลับไปน่าจะดีกว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกคุณสองพี่น้องจะมาอาศัย”
เฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะอยากถอย ทว่าสิ่งที่เขากลัวไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นห่วงพี่น้องคู่นี้ พวกเธอเป็นดังบัวหิมะที่ไม่เคยเปอะเปื้อนในหุบเขาลึก ฉะนั้นจึงไม่ควรมาแปดเปื้อนด้วยเรื่องพวกนี้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เฟิ่งซีจะปฏิเสธ: “ฉันคิดว่าต่อให้พี่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เธอคงจะไม่ยอมไปจากที่นี่อยู่ดี พี่เป็นคนมีนิสัยดื้อรั้น ถ้าหากมีคนไม่ต้องการให้พี่ไปช่วยชีวิตใครคนไหน ต่อให้เขาคนนั้นจะตายไปแล้วพี่ก็จะพยายามจนถึงที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาคนนั้นกลับมา”
เฉินเฟิงรู้ดีว่าเฟิ่งซีคงจะเข้าใจในตัวหลงหลินมากที่สุด ถ้าหากเธอพูดถึงขั้นนี้ อย่างนั้นความจริงก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
เฟิ่งซีที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆ เฉินเฟิงมีสีหน้าที่ซีดขาว เฉินเฟิงที่เพิ่งจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ตัวของเฟิ่งซีก็ฟุบล้มไปอีกทางแล้ว
เฉินเฟิงรีบดึงตัวเธอมาด้านหน้าไม่ให้เธอล้มไปกระแทกกับพื้นโดยตรง
ก่อนจะโอบเฟิ่งซีไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเฉินเฟิงก็พยายามเรียกชื่อของเฟิ่งซีด้วยเสียงเบาๆ
“เฟิ่งซี ตื่นๆ คุณเป็นอะไรไป ?”
และเพียงครู่เดียว เฟิ่งซีก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และเมื่อได้เห็นเฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง เธอกลับไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะผลักเขาออกไปในทันที เป็นเพราะร่างกายของเธออ่อนแรงอย่างมาก ซึ่งเธอก็เข้าใจดี
“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่อาการอ่อนเพลีย คุณช่วยพยุงฉันไปนั่งก่อนเถอะ”
เฉินเฟิงทำตามที่เธอบอกโดยการพยุงเฟิ่งซีไปนั่งยังเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องของหลงหลิน
ตอนนี้ร่างกายของเฟิ่งซีอ่อนแรงอย่างมาก บนร่างกายของเธอก็มีกลิ่นสมุนไพรจางๆ แต่กลับไม่ได้มีกลิ่นฉุนรุนแรงเช่นเดียวกับหลงหลิน ทั้งยังเป็นกลิ่นที่คละเคล้ากับกลิ่นหอมของผู้หญิงอีกด้วย
เมื่อมีหญิงงามอยู่ในอ้อมแขน เฉินเฟิงก็เกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปคิดเรื่องพวกนี้ หลังจากที่เขาวางตัวเฟิ่งซีให้นั่งลงอย่างมั่นคง ตัวเองจึงนั่งลงไปบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ พร้อมกล่าวถาม: “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เฟิ่งซีเอนตัวฟุบลงไปบนโต๊ะแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา: “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
จากนั้นก็พยายามแสดงรอยยิ้มออกมาพูดกับเฉินเฟิงอีกครั้ง : “ท่าทางแบบนี้ของคุณ มันทำให้น่าประทับใจมากเลยนะ ผู้หญิงมักจะทนไม่ไหวกับการกระทำแบบนี้ที่สุดแล้ว”
เฉินเฟิงที่เห็นว่าเธอยังพูดจาหยอกล้อได้ ถึงค่อยคลายความกังวลในใจลง คงเป็นเพราะตอนนี้เธออ่อนล้าเกินไป ดังนั้นเขาจึงพูดจาหยอกล้อกับเฟิ่งซี : “สามารถทำให้ประทับใจได้ก็ถูกแล้ว เพราะอย่างน้อยมันทำให้รู้ว่าผมก็ยังมีเสน่ห์ชวนหลงใหล”
เฟิ่งซีกลอกตาใส่เขาพร้อมกับพูด: “ยังไงคุณก็แค่คนไม่ปกติ ถ้าพี่สาวรู้เข้า คงจะต้องด่าคุณว่าสารเลวแน่นอน”
เดิมทีเฉินเฟิงคิดอยากจะช่วยประคองเฟิ่งซีกลับไปที่ห้อง แต่เธอกลับปฏิเสธ เพราะเธอคาดว่าใกล้ถึงเวลาที่หลงหลินควรจะตื่นแล้ว และเธอคิดว่าหากในตอนที่พี่สาวฟื้นขึ้นมา แล้วไม่พบเธออยู่ตรงนี้ หลงหลินจะต้องเกิดความกังวลใจแน่นอน
เฉินเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจในความสัมพันธ์ของพวกเธอสองพี่น้อง
และก็เป็นเหมือนดังที่เฟิ่งซีได้พูดเอาไว้ไม่มีผิด เพราะมีการเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากเตียงของหลงหลิน ราวกับว่าหลงหลินได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว
“คุณรีบเข้าไปดูเร็ว” เฟิ่งซีรีบบอกกับเฉินเฟิง
แน่นอนว่าเฉินเฟิงไม่รอให้เฟิ่งซีได้สั่ง เขาก็ได้เดินไปก่อนแล้ว
และทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เฟิ่งซีได้พูดเอาไว้ เพราะเมื่อหลงหลินลืมตาขึ้นมาแล้วได้พบกับเฉินเฟิงเป็นคนแรกแทน คำถามแรกที่เธอถามออกมาก็คือ : “เฟิ่งซีเป็นยังไงบ้าง ?”
“เธอไม่เป็นอะไร เธอนั่งอยู่ตรงนั้น”
เฉินเฟิงชี้ไปยังตำแหน่งที่เฟิ่งซีกำลังนั่งอยู่ให้เธอดู หลงหลินจึงหันหน้าตามไปก็ได้เห็นว่าเฟิ่งซีกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ ถึงแม้ว่าสีหน้าจะไม่ค่อยสู้ดีมากนัก แต่เธอก็สามารถรับรู้ได้ว่า เฟิ่งซีเพียงแค่อ่อนล้าเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงสงบใจลงไปมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...