เฉินเฟิงที่โดนว่าอย่างนั้นก็โมโหเช่นกัน เขาจึงตะเบ็งพูดด้วยน้ำเสียงสูงขึ้น : “แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง จะให้ทำเป็นไม่สนใจคุณเลย แล้วปล่อยคุณนอนบนพื้นไว้คนเดียวทั้งคืนแบบนั้นผมทำไม่ได้หรอกนะ”
เมื่อโดนเฉินเฟิงพูดแบบนี้ใส่ เฟิ่งซีก็ไม่รู้ว่าจะโต้เถียงกลับอย่างไรดี ทั้งที่คนที่ถูกเอาเปรียบคือเธอแท้ๆ แต่เขาดันทำท่าทีน้อยใจแทนเสียอย่างนั้น และเมื่อเป็นแบบนี้เฟิ่งซีที่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก
“คุณมันก็แค่คนเลว” เธอด่าออกมา พร้อมกับหันหน้าหนีไม่สนใจเขาอีก
เฉินเฟิงเองก็เข้าใจว่าสิ่งที่เขาได้ทำลงไปนั้นดูเกินเลยไปหน่อย เขาจึงสงบอารมณ์ลงทันที: “ให้ผมได้ไถ่โทษกับคุณไม่ได้เลยหรอ? ผมผิดไปแล้ว คุณบอกผมมาว่าต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมให้อภัย คุณคงไม่คิดจะทำแบบนี้กับผมไปตลอดหรอกนะ”
สองวันมานี้ถึงจะเหนื่อยล้าอย่างมาก แต่เฟิ่งซีที่หลังจากได้พักฟื้นแล้วท่าทีของเธอก็ดีขึ้นมากกว่าวันที่เป็นลมไปวันนั้น ใบหน้ากลับมามีน้ำมีนวลอีกครั้ง ริมฝีปากก็แดงระเรื่อชวนมอง พร้อมทั้งแก้มแสนกลมมนของเธอก็แทบจะทะลักน้ำออกมา
เมื่อได้ยินคำขอโทษจากเฉินเฟิง เฟิ่งซีก็เบะปากอย่างไม่มีความสุขมากนัก แต่ก็ยังหันหน้ากลับมามองเขา
“คุณสำนึกผิดแล้ว?”
เฉินเฟิงพยักหน้ายิกๆ : “อืม!ผมผิดไปแล้ว”
“ก็ได้ เพราะเห็นแก่ความจริงใจในตัวคุณ ฉันจะอภัยให้แล้วกัน ” เฟิ่งซีพูดอย่างใจกว้าง
และสิ่งนี้ทำเอาเฉินเฟิงตั้งตัวแทบไม่ทัน: “คุณว่ายังไงนะ?”
เฟิ่งซีพึมพำออกมาอีกครั้ง: “ทำไม ไม่อยากงั้นหรอ !”
เฉินเฟิงจึงรีบยกมือขึ้นมาสะบัดไปมา: “เปล่า ไม่ใช่”
ซึ่งในตอนนั้นเองที่เฟิ่งซีมองเห็นรอยแผลบนฝ่ามือที่เพิ่งตกสะเก็ดของเฉินเฟิง ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็แสดงอาการเป็นห่วงขึ้นมา ก่อนที่เธอจะรีบเข้าไปกุมมือนั้นของเขาแล้วใช้มือลูบเบาๆ พร้อมกล่าวถาม: “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
มือข้างหนึ่งที่ถูกเฟิ่งซีกุมเอาไว้ทำให้รับรู้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านเข้ามา และความเรียบลื่นของมือนั้นก็ทำให้รู้สึกสบายอย่างมาก เฉินเฟิงจ้องมองไปยังใบหน้าที่วิตกของเฟิ่งซี ใจของเขาก็พลันถูกสะกดเอาไว้
เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงเหม่อมองมา เฟิ่งซีจึงตวาดมือขึ้นไปตบหน้าเขา : “คนเลว คุณก็รู้จักแต่จะรังแกคนอื่น”
เฉินเฟิงสะดุ้งพร้อมรีบตอบกลับ: “ผมไม่รังแกคุณหรอก ผมเคยสัญญากับพวกคุณเอาไว้แล้ว ยังไงผมก็ยังต้องปกป้องพวกคุณ ”
เฟิ่งซีใจอ่อนลงทันที พร้อมทั้งไม่คิดจะไปเอาเรื่องอะไรที่เขาจ้องมองเธอแบบนั้น
และในขณะที่เธอกำลังจะพูดบางอย่าง บริเวณด้านนอกลานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา เฟิ่งซีจึงรีบขยับตัวเว้นระยะห่างกับเฉินเฟิงทันที
ส่วนเฉินเฟิงเองที่ไม่สามารถไปรั้นตัวเฟิ่งซีไว้ จึงได้แค่เปลี่ยนความสลดในใจเป็นความโกรธ เตรียมจะระบายอารมณ์กับคนที่กำลังจะเข้ามา
เพียงไม่นาน เชียนสวนยี่ก็เข้ามาพร้อมกับคนตระกูลเชียนอีกหลายคน เขาเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ในเมื่อนายท่านเชียนฟื้นแล้วการที่เขาจะมีความสุขย่อมเป็นเรื่องปกติ
ส่วนด้านหลังของเขามีคนตามมาด้วยสี่คน ซึ่งแต่คนก็ถือกล่องสีเงินไว้คนละกล่อง ตอนนี้พวกเขาเหมือนกลุ่มคนที่จะไปทำการค้าขายเสียอย่างนั้น
หลงหลินที่อยู่ด้านในก็ดูเหมือนจะสังเกตได้ว่ามีคนเข้ามา เธอจึงเดินออกมา
เชียนสวนยี่ที่เดินมาถึงหน้าของพวกเขาไม่กี่คนก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทันที : “พวกคุณสองพี่น้องตระกูลฉางถือเป็นหมอที่มีทักษะอันเก่งกาจ ถึงได้ใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดวันก็สามารถรักษาอาการของคุณพ่อได้แล้ว ความสามารถในการชุบชีวิตนี้ เกรงว่าจะมีความพิเศษมากกว่าสิ่งที่คนด้านนอกได้เล่าลือกัน ดังนั้นพวกเราตระกูลเชียนจึงไม่อาจที่จะติดค้างบุญคุณของพวกคุณได้”
เมื่อพูดจบ เขาก็ให้สี่คนที่อยู่ด้านหลังนำกล่องเหล่านั้นในมือของพวกเขามาวางไว้ตรงหน้าของพวกเฉินเฟิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...