ลูกเขยมังกร นิยาย บท 890

ถึงแม้ว่าเชียนสวนยี่จะพูดอย่างนั้น แต่หลงหลินก็ยังคงส่ายหน้ากล่าวปฏิเสธดังเดิม : “สิ่งของเหล่านี้ยังไงก็ยังคงรบกวนให้ เจ้าตระกูลเชียนนำกลับไป อาจารย์เคยสอนพวกเราเอาไว้ว่าเรื่องบางอย่างก็อย่าได้ทำเด็ดขาด ถ้าหากว่าคุณยังยืนยันที่จะให้พวกเรารับของเหล่านี้เอาไว้ เช่นนั้นพวกเราคงจะไม่มีหน้าที่จะไปพบกับอาจารย์ได้อีก และทำได้เพียงขับไล่ตัวเองจากการเป็นศิษย์เท่านั้น ”

“คือ…… ” เมื่อถูกพูดมาถึงขั้นนี้ เชียนสวนยี่ก็หาเหตุผลใดมาหักหลังต่อไม่ได้จริงๆ เพราะเขาไม่มีทางยอมให้หลงหลินต้องขับไล่ตัวเองอยู่แล้ว

แต่หากจะให้เชียนสวนยี่ลองเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง แน่นอนว่าเขานั้นได้เตรียมเหตุผลนั้นไว้แล้วนั่นก็คือเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูลเชียน เพราะหากมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป สำหรับเรื่องที่ว่าสองพี่น้องตระกูลเชียนจะรับไว้หรือไม่นั้นพวกเขาไม่ใส่ใจมากนัก แต่พวกเขาเพียงแค่สนใจว่าตระกูลเชียนอาจจะถูกตำหนิเพราะของขวัญตอบแทนแค่นี้ยังไม่สามารถมอบให้ผู้มีพระคุณได้

แต่เมื่อเห็นความแน่วแน่ของหลงหลินแล้ว เขาเองก็หมดปัญญาเช่นกัน

จนในท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงต้องพาคนเหล่านั้นออกจากที่นี่ไป ทว่าก่อนที่จะจากไปเขาก็ยังคงหันมากล่าวกับทั้งสองด้วยความเกรงใจอีกว่า : “ถึงแม้ว่าทั้งสองจะไม่ยินยอมรับของเหล่านี้เอาไว้ แต่ยังไงผมก็ยังต้องกล่าวขอบคุณทั้งสองเป็นอย่างมากจริงๆ ถ้าหากไม่ได้พวกคุณสองคน คุณพ่อก็คงจะไม่ฟื้นขึ้นมา”

หลงหลินพยักหน้ารับคำขอบคุณ ก่อนจะยืนเฝ้าส่งพวกเชียนสวนยี่ออกจากลานบ้านนี้ไป

เฟิ่งซีเดินไปยังข้างกายหลงหลินแล้วถามด้วยเสียงเบาๆ : “พี่ ในเมื่ออาการป่วยของนายท่านดีขึ้นแล้ว อย่างนั้นพวกเรากลับกันได้แล้วสิ ”

หลงหลินมองไปยังประตูลานบ้านอันว่างเปล่า ก่อนจะครุ่นคิดสักพักแล้วตอบกลับ : “พี่ตั้งใจจะรอสังเกตอาการอีกสักพักก่อน ตอนนี้นายท่านเชียนเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา และพวกเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้จะมีอาการกำเริบด้วยหรือเปล่า ”

“แต่ว่าพี่……” เฟิ่งซีร้อนใจอยากจะทักท้วงหลงหลิน

แต่หลงหลินกลับกล่าวปลอบใจเธอ: “เธอไม่ต้องร้อนใจ ฉันรู้ว่าเธอคิดยังไง ฉันเองก็กังวลว่าคนเหล่านั้นจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของพวกเราเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่ฉันคิดวิเคราะห์แล้ว ยังไงพวกเราก็รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อน แล้วพวกเราค่อยไปกล่าวลากับเจ้าตระกูลเชียนคนนั้น ”

เมื่อได้ยินการตัดสินใจของหลงหลิงที่จะไปจากที่นี่ เฟิ่งซีก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขพร้อมกับเข้าไปกอดร่างหลงหลินเอาไว้แล้วเขย่าตัวเธออย่างไม่ยอมหยุด

“รู้อยู่แล้วว่าพี่ไม่มีทางทนปล่อยให้ฉันต้องคอยอกสั่นขวัญแขวนอยู่ที่นี่แน่นอน พรุ่งนี้พวกเรากลับกันเถอะ กลับไปยังบ้านหลังเล็กๆ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของตระกูลเชียนอีก จากนั้นก็อยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆ และทำในสิ่งที่พวกเราสบายใจดีกว่า”

เมื่อเห็นเธอมีความสุขขึ้นมาจริงๆ เฉินเฟิงก็อดที่จะดีใจแทนเธอด้วยไม่ได้

เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ในวันถัดมา หลงหลินก็พาทั้งสองคนไปกล่าวลา แต่เชียนสวนยี่กลับกล่าวรั้งพวกเขาเอาไว้

“ตอนนี้ร่างกายของคุณพ่อเพิ่งจะกลับมาดีขึ้น ยังไงก็ยังคงต้องการให้ทั้งสองคอยดูแลมากขึ้น หวังว่าพวกคุณจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน รอให้ร่างกายของคุณพ่อดีขึ้นมากกว่านี้อีกหน่อย ค่อยไปก็ยังไม่สาย ”

หลงหลินตอบกลับ: “อาการป่วยของนายท่านในตอนนี้ได้พ้นช่วงวิกฤตมาแล้ว จากนี้ขอเพียงแค่พักฟื้นและทานยาตามใบสั่งของพวกเราให้ตรงตามเวลา แค่นั้นก็สามารถยับยั้งการกำเริบของพิษหนาวได้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าพวกเราสองพี่น้องก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว ฉะนั้นท่านเจ้าบ้านไม่ต้องกังวลใจ ”

เชียนสวนยี่ได้เพียงยิ้มฝืน: “ผมเข้าใจถึงความคิดที่จะไปจากที่นี่ของพวกคุณ เป็นเพราะว่าตระกูลเชียนไร้ความสามารถถึงได้ปล่อยให้พวกคุณต้องได้รับความหวาดกลัว หากพวกคุณยินยอมที่จะอยู่ต่อ ตระกูลเชียนขอรับรองในความปลอดภัยของพวกคุณได้เลย แต่หากว่าพวกคุณต้องการที่จะไปจริงๆ อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่มีหน้าที่จะรั้งพวกคุณเอาไว้และในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ผมจะจัดเตรียมคนส่งพวกคุณกลับไปแล้วกันครับ”

เมื่อเห็นว่าหมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อมได้ เชียนสวนยี่เองก็ยอมตัดใจ เพราะไม่ต้องการที่จะไปสร้างความบาดหมางให้กับสองพี่น้องตระกูลฉาง ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงมีความสุภาพอย่างมาก

และคนที่ส่งพวกเขากลับไปก็ยังคงเป็นชายคนที่ไปรับพวกเขามาในตอนนั้นตามเดิม เขาเป็นยังคนไม่พูดอะไรมาก พร้อมกับท่าทีนิ่งขรึม ซึ่งตลอดทางเขาเพียงถามแค่สิ่งที่ต้องถามเท่านั้น นอกจากนั้นเขาก็นิ่งเงียบตามเดิม

เนินเขาที่ยังคงเขียวขจี ภายใต้แสงแดดในยามเช้านั้นยิ่งทำให้พวกมันดูมีพลังมากยิ่งขึ้น เพียงแค่ทอดสายตามองออกไปไกลๆ ภายในจิตใจก็เกิดความโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย

ตอนที่ไป ไปอย่างไร ในตอนที่ที่กลับมาก็เป็นเช่นนั้น เฉินเฟิงยังคงคอยแบกกล่องยาเดินตามหลังพวกเธอสองคน ในขณะที่ชายจากตระกูลเชียนคนนั้นก็คอยช่วยพวกเขาลากกระเป๋า และเพียงไม่นานพวกเขาก็มองเห็นประตูบ้านที่อยู่ตรงเนินเขา

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะคนจำนวนหนึ่งมายืนอยู่บริเวณหน้าประตู และในตอนที่พวกเฉินเฟิงเดินเข้าไป คนเหล่านั้นต่างพากันเหลียวหันมามองพวกเขา

ซึ่งพวกเขาเจ็ดแปดคนล้วนเป็นผู้ชายหมดเลย นอกจากมีชายหลังค่อมที่เป็นชายชราแล้ว คนอื่นๆ ดูอายุยังน้อยกันหมดเลย โดยพวกเขายืนเรียงกันอยู่ข้างๆ ชายชราคนนั้น และในขณะที่คนอื่นๆ ต่างสวมชุดสีดำกันหมด กลับมีชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีอายุน้อยที่สุดในนั้นสวมเสื้อเชิ้ตลำลองและกางเกงยีนแฟชั่น

แต่การแต่งตัวของคนเหล่านั้นถือว่ายังธรรมดาและสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ทว่าชายชรากลับเป็นคนเดียวที่สวมใส่ชุดฉางเผาสีเหลืองซีดสุดหลวมพร้อมคาดด้วยสายรัดเอว และเกล้าผมมวยไว้กลางหัวปักด้วยปิ่นปักผม ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนักพรตโบราณอะไรอย่างนั้น

โดยตอนนี้ชายชรากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และคนกลุ่มนี้ดูเหมือนว่าตั้งใจมาเฝ้ารอสองพี่น้องตระกูลฉางโดยเฉพาะเลย

ทางด้านเฉินเฟิงเริ่มมีความกังวลขึ้นมา แต่ก็มองไม่เห็นความประสงค์ร้ายใดๆ จากอีกฝ่ายเลย ดังนั้นจึงได้เพียงซุ่มดูอยู่ด้านหลัง คอยรอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

แต่เพียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องตระกูลฉางกลับมา ชายชราก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ทั้งที่คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างทำหน้าเคร่งครึม แต่ชายสวมเสื้อเชิ้ตเขาคนนั้นกลับทำเป็นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

“ขอโทษนะครับ พวกคุณใช่ลูกศิษย์สองคนนั้นของท่านปูถูหรือเปล่า?”

ชายชราที่แม้จะลุกขึ้นยืน แต่ร่างกายของเขากลับไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากนัก และด้วยความที่เขาหลังค่อมจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้ชัดเจนมากนัก เขาเดินมายังด้านหน้าสุดของคนกลุ่มนั้นแล้วกล่าวถามกับพี่น้องตระกูลฉาง

หลงหลินเดินหน้าเข้าไปพร้อมตอบกลับ: “ที่นี่เป็นที่พักอาศัยของอาจารย์ก็จริงอยู่ค่ะ แต่ว่าอาจารย์ของเราได้จากไปได้สองปีกว่าแล้ว ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายท่านนี้มาที่นี่ด้วยเหตุอะไรคะ ?”

เมื่อได้ยินว่าท่านปูถูเสียชีวิตไปแล้ว ร่างกายของชายชราก็สั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน จากนั้นเขาจึงตอบกลับด้วยความเสียดาย : “เป็นถึงหมอยอดฝีมือ แต่กลับจากไปเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ ”

แล้วชายไม่กี่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็แสดงสีหน้าที่หดหู่ไม่ต่างกัน

หลงหลินกล่าวปลอบ: “นายท่านโปรดอย่าได้เศร้าใจเลยค่ะ ในตอนที่อาจารย์จากไปนั้นไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไร นับว่าเป็นการจากไปอย่างสงบ ที่นายท่านมาถึงที่นี่เพราะมาร้องขอการรักษาหรอคะ ?”

ชายชราเก็บอาการโศกเศร้าลงไป พร้อมตอบกลับหลงหลินอีกครั้ง : “เข้าใจผิดแล้วหล่ะ ตัวผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอการรักษา แต่มาเพื่อตามหาของชิ้นหนึ่ง ของชิ้นหนึ่งซึ่งมีความล้ำค่ามากๆ ”

ตอนนี้หลงหลินประหลาดใจอย่างมาก คงเป็นเพราะว่าท่านปูถูไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเธอมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถไปปฏิเสธอีกฝ่ายเพราะเหตุผลนี้ จึงได้เพียงแค่ตอบกลับไป: “ เรื่องนี้ อาจารย์ไม่เคยได้บอกกับฉันเอาไว้ แต่นั่นคงเป็นเพราะความชราภาพจึงทำให้หลงลืมไป เอาเป็นว่านายท่านเข้าไปด้านในก่อนแล้วค่อยพูดคุยรายละเอียดกันดีกว่าค่ะ ถ้าหากว่ามีของอย่างว่าจริงๆ พวกเราเต็มใจที่จะคืนให้คุณแน่นอน ”

ชายชราพยักหน้า: “อย่างนั้นก็ได้ ต้องรบกวนแล้ว”

หลงหลินเปิดประตูลานบ้านออก แต่คนกลุ่มนั้นกลับเหมือนจะไม่เข้ามาด้านใน มีก็เพียงแค่ชายชราและเด็กหนุ่มคนนั้นที่เดินตามหลังไปเท่านั้น

เฉินเฟิงที่เดินผ่านพวกเขาก็แอบสังเกตรูปร่างของพวกเขา ซึ่งดูแล้วแต่ละคนน่าจะผ่านการฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาหมดแล้ว และเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วพวกเขาคงจะเป็นบอดี้การ์ดของตาหลานสองคนนั้น

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินถือของตามหลังเข้าไป

เมื่อนำกระเป๋าสัมภาระของพวกเขามาวางไว้หน้าประตูหมดแล้ว เฉินเฟิงจึงให้ชายจากตระกูลเชียนคนนั้นกลับไป ในขณะที่สองตาหลานถูกพาเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว

โดยที่หลงหลินคอยอยู่กับทั้งสอง ส่วนเฟิ่งซีน่าจะไปช่วยต้มชาให้กับพวกเขาสองคนที่เป็นแขก

ตอนนี้ไม่มีน้ำร้อน ฉะนั้นจะต้มชาคงต้องใช้เวลาสักระยะ ทางด้านเฉินเฟิงนั้นเดินมายังห้องโถงเพื่อฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างระมัดระวัง

ซึ่งในตอนที่เดินเข้าไปเฉินเฟิงก็สังเกตเห็นสายตาของชายชราที่มองมายังเขาเหมือนจะสนใจแต่ก็ไม่ได้สนใจอย่างนั้น จึงทำให้เฉินเฟิงเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมา

และในช่วงแรกเริ่มชายชราเพียงแค่กล่าวคำทักทายเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะเล่าถึงความชิดเชื้อของตนและท่านปูถู พร้อมกับย้อนอดีตอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร