เปิดผ้าห่มออกมา แล้วคลานลงมาจากเตียง
ข้างเตียงวางมีรองเท้าแตะไว้หนึ่งคู่ ทำจากผ้าสำลี สวมใส่ขึ้นมาแล้วรู้สึกอบอุ่นดี
เฟิ่งซีใส่รองเท้าแตะแล้วเดินสำรวจภายในห้องนั้น
ดูเหมือนเป็นห้องรับรองแขกห้องหนึ่ง ไม่มีเครื่องใช้ส่วนตัวของเจ้าของบ้านเลย มีเพียงภาพสีน้ำไม่กี่ภาพแขวนอยู่บนผนังห้อง ห้องทั้งหลังแลดูสะอาดสะอ้านสว่างตา เรียบง่ายดี
มองออกไปนอกหน้าต่าง เป็นสวนดอกไม้ที่ใหญ่โตมาก สวนดอกไม้นั้นก็มองไม่เห็นผู้คนเลย แต่ก็น่าจะมีการทำความสะอาดเป็นประจำ ต้นไม้ใบหญ้าล้วนดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในห้องนั้นไม่พบสิ่งของอะไรเลย เฟิ่งซีจึงเดินมาจนถึงหน้าประตูห้อง
ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาจากประตูด้านนอก ดูเหมือนว่าไม่เพียงแค่คนเดียว
จากนั้นประตูห้องของเธอก็ถูกเปิดออก เฟิ่งซีตกใจจนถอยไปยังข้างฝาผนังห้อง
ส่วนคนที่เดินเข้ามาเป็นผู้หญิงสองคนที่ใส่ชุดเสื้อผ้าเหมือนกัน ด้านหน้าใส่ผ้ากันเปื้อนไว้ ท่าทางอายุราวประมาณสามสิบกว่า ดูเหมือนเป็นเพียงแค่คนรับใช้ภายในบ้านหลังนี้เท่านั้น
เมื่อพวกเธอมองเห็นเฟิ่งซีแล้ว ดูเหมือนไม่ได้ตกใจอะไรเท่าไหร่นัก หนึ่งในนั้นที่รูปร่างผอมบาง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูตื่นแล้วเหรอคะ”
เฟิ่งซีก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ดูแล้วสองคนนี้ไม่น่าจะทำร้ายเธอได้ จึงกล้าที่จะถามว่า “ที่นี่เป็นสถานที่อะไรเหรอ?”
ผู้หญิงที่ผอมบางพูดว่า “ที่นี่คือคฤหาสน์ของคุณท่านเฉียน”
เฟิ่งซีพูดซ้ำว่า “คุณท่านเฉียน?”
แต่ผู้หญิงสองคนนั้นไม่ได้ตอบเธอ เพียงแต่เดินเข้าไปเพื่อนำเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วกลับเข้ามาเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าภายในห้อง จากนั้นก็พูดกับเฟิ่งซี “ถ้าคุณหนูหิวล่ะก็ เดินออกไปที่ห้องอาหารที่อยู่ข้างนอก ที่นั่นมีอาหารให้รับประทานมากมายเลยค่ะ”
เฟิ่งซีก็พยักหน้า
เมื่อรอให้ผู้หญิงทั้งสองคนจากไปแล้ว เฟิ่งซีก็เดินออกมาจากห้อง
ที่นี่เป็นบ้านหลังที่ใหญ่โตมาก ขนาดระเบียงทางเดินก็ยาวประมาณสิบกว่าเมตรแล้ว
ระเบียงทั้งสองข้างยังมีห้องหลายห้องอยู่ ประตูห้องก็ถูกปิดไว้ เฟิ่งซีกลับไม่ได้ไปใส่ใจ ได้แต่เดินไปตามระเบียงทางเดินจนไปถึงสุดปลายทาง
ที่นั่นดูเหมือนเป็นห้องอาหารที่ผู้หญิงสองคนนั้นพูดถึง มีโต๊ะอาหารยาวประมาณสี่ห้าเมตรวางอยู่ตรงกลางห้องอาหาร ทั้งสองข้างก็มีเก้าอี้วางเรียงรายมากมาย ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นที่ว่างทั้งนั้น มีเพียงที่นั่งด้านหน้าสุดที่มีคนนั่งอยู่สี่ห้าคน
เฟิ่งซีจำได้หนึ่งในนั้นได้ ชายชราที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะคนนั้น ก็คือคนที่มาหาที่บ้านวันนั้น
ชายชราเมื่อเห็นเฟิ่งซีแล้ว ร่างที่หลังค่อมก็ลุกขึ้นยืน พูดกับเฟิ่งซีว่า “คุณหนูฉาง”
เฟิ่งซีพยักหน้า แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอก็ยังคงจำได้ว่าหลานชายของชายชราคนนี้บุกเข้าไปในบ้านของเธอ
ชายชราค่อยๆเดินมาตรงหน้าเฟิ่งซี เฟิ่งซีกลับรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย คิดจะเดินถอยหลังออกไป
แต่ชายชราเมื่อมาถึงตรงหน้าเธอ กลับโค้งตัวลงคำนับให้เธอ เดิมทีรูปร่างที่หลังค่อมอยู่แล้ว กลับแลดูยิ่งโค้งลงมากขึ้นไปอีก
“ต้องขอโทษจริงๆ สำหรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับคุณหนูทั้งสอง ฉันจะขอรับผิดชอบทั้งหมดอย่างเต็มที่”
เฟิ่งซีก็นึกถึงหลงหลินขึ้นมา จึงรีบถามว่า “แล้วพี่สาวฉันล่ะ? พวกคุณทำอะไรกับพี่สาวฉัน?”
เมื่อพูดถึงหลงหลินขึ้นมา เฟิ่งซีก็แทบจะไม่เกรงกลัวชายชราที่อยู่ตรงหน้าเธออีกแล้ว
ชายชรายืดตัวตรงขึ้น แล้วพูดว่า “คุณหนูหลงหลินเพียงแต่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น ก็อยู่ห้องข้างๆกับห้องท่านนั่นแหละ”
เฟิ่งซีได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่สนใจชายชราที่ยืนพูดอยู่ตรงหน้าเธออีก หันหลังกลับแล้ววิ่งกลับไป
ด้านซ้ายขวาของห้องเธอก็มีห้องอยู่ทั้งสองข้าง เมื่อเปิดดูห้องแรกแล้ว เห็นมีคนนอนอยู่บนเตียง เฟิ่งซีวิ่งเข้าไปดู เห็นเป็นหลงหลินจริงๆด้วย
เธอจึงรีบตรวจดูอาการทั่วไปของหลงหลิน การหายใจที่สม่ำเสมอ ชีพจรก็เต้นปกติ ไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย
จึงทำให้เฟิ่งซีวางใจได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
คือรำคาญพระเอกแนวนี้มากมีเงินรวยแต่ทำตัวติดดินให้คนดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองก็ไม่เท่าไรเมียตัวเองต้องมาทนโดนดูถูกไปด้วยเพื่อ..ตระกระความคิดนี้มันยังไง ไม่ต้องอวดรวยก็ได้ แค่รู้จักปรับลุคตัวเอง ให้ไม่ดูติดดินเกินไปจนคนอื่นดูถูกแค่นี้ก็ยากเกินไปรึไง ไม่รำคาญพวกโง่วิ่งมาหาเรื่อง ก็ควรนึกถึกว่าพวกโง่จะหาเรื่องเมียตัวเองด้วยสิ...
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...