ใครบอกว่าบุตรสาวเป็นเสื้อนวมปุยฝ้ายตัวน้อยที่แอบอิงอก(*หมายถึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและรู้ใจพ่อแม่) เจ้าก้อนน้อยก็รู้ใจมากเหมือนกันมิใช่หรือ? ทำให้นางประทับใจจนน้ำหูน้ำตาจะไหลแล้ว
นางคิดพลางดื่มน้ำสองสามอึกจนหมด วางแก้วน้ำกับเก้าอี้ จากนั้นยื่นมือกอดเจ้าก้อนน้อย หอมใบหน้าเขาแรงๆ ฟอดหนึ่ง เจ้าก้อนน้อยถูกนางหอมจนหัวเราะ “คิกคัก”
สองแม่ลูกครึกครื้นอยู่ทางนี้ ส่วนหลิวเซียงทางนั้นกำลังขบคิดปัญหา
ในห้องโถง สวีฉางหลินได้ยินเสียงหัวเราะนั้น หัวใจชุ่มฉ่ำ
เสี่ยวเทียนไม่เคยหัวเราะอย่างนี้มาก่อน ยังเป็นภรรยาตัวน้อยที่มีความสามารถ
โจวต้าไห่ที่อยู่ด้านข้างหันไป นอกจากจะเห็นประตูก็ไม่เห็นอย่างอื่นอีก ใจมีความกังวลเล็กน้อย
กุ้ยหลานชอบเจ้าเด็กเสียวเทียนนี่จริงๆ แล้ว แต่อย่างไรนางก็ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด หากต่อไปฉางหลินมีความคิดเป็นอื่นจริง ไม่คำนึงถึงเสี่ยวเทียน...
ครั้นคิดอย่างนี้ สีหน้าเขาจึงกลายเป็นขรึมมากขึ้นไม่น้อย
โจวกุ้ยหลานเล่นกับเจ้าก้อนน้อยพักหนึ่ง ทั้งสองเริ่มเหนื่อยแล้ว จึงปล่อยเจ้าก้อนน้อยออก หลังจากทั้งสองนั่งลงก็กินเกี๊ยวทอดของพวกเขาต่อ
ไม่นานเจ้าก้อนน้อยก็กินอิ่ม โจวกุ้ยหลานเองก็รู้สึกอิ่มอยู่เหมือนกัน ครั้นหันไปมองเกี๊ยวทอดจานนั้นที่อยู่บนเตา กลับกินไปเพียงสองสามชิ้น ส่วนหลิวเซียงตอนนี้ก็กำลังก้มหน้าก้มตาเผาฟืนอยู่ ทว่าท่าทางดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
เกี๊ยวทอดนี่ก็กินแค่ไม่กี่ชิ้น...น่าสนใจ
ความนึกสนุกแล่นปราดในดวงตาโจวกุ้ยหลาน
“ไม่ต้องเผาแล้ว เกี๊ยวน่าจะสุกแล้ว” โจวกุ้ยหลานเตือนนาง
“อ้อๆ ได้” หลิวเซียงถูกนางเตือนจึงสะดุ้ง รีบคีบฟืนที่ไหม้อยู่ด้านในออกมาวางบนพื้น กลิ้งสองสามทีเพื่อทำให้ดับ
โจวกุ้ยหลานมองแล้วเตือนอีกหน “เจ้าดับไฟให้หมดเถอะ อย่าให้เกี๊ยวต้มจนเละไปเสีย”
หลิวเซียงผงกหัวหงึกหงักอีกครั้ง แล้วทำตาม
เมื่อนางรับคำแล้ว โจวกุ้ยหลานจึงพาเจ้าก้อนน้อยเดินออกไป
ครั้นถึงห้องโถงก็เห็นสวีฉางหลินกับโจวต้าไห่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สานกระชุได้คนละใบแล้ว
“พวกเจ้าเร็วเกินไปแล้วกระมัง?”
กล่าวจบก็เดินไปทางกระชุ
“ตอกไม้ไผ่นี่ตากแห้งแล้วก็เลยสานง่าย อีกอย่าง ไม่ได้สานใบใหญ่สักหน่อย” โจวต้าไห่เอ่ย
“นี่ก็เก่งมาก พวกเจ้าเก่งทั้งคู่!” โจวกุ้ยหลานยกนิ้วหัวแม่มือให้ทั้งสอง
โจวต้าไห่เขินเล็กน้อย น้ำเสียงล่องลอยนิดๆ “พูดเรื่องนี้ทำไมกัน...”
รู้ว่าเขาดีใจ โจวกุ้ยหลานก็แค่ยิ้มแต่ไม่พูดจา
ครั้นหันไปมองสวีฉางหลินที่อยู่ด้านข้าง เขากลับหน้าเฉย อารมณ์ปกติ
“ข้าชมเจ้าเจ้าไม่มีปฏิกิริยาหน่อยหรือ?” โจวกุ้ยหลานเลิกคิ้วกับสวีฉางหลิน
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรืออย่างไร ทำไมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กำลังแอบยิ้มอยู่?
ผู้ชายทางนั้นผินหน้ามา มองโจวกุ้ยหลานที่อยู่ตรงหน้า น้ำเสียงสดใส “ข้าก็เก่งนั่นแหละ”
โจวกุ้นหลานจ้องเขาอย่างคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม น้ำเสียงระคนหยอกเย้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่า ‘ถ่อมตน’ เขียนอย่างไร?”
“รู้สิ เจ้าไม่รู้หรือ?” สวีฉางหลินย้อนถาม
โจวกุ้ยหลานถูกเขาทำสะอึก นางเขียนคำว่า ‘ถ่อมตน’ ของยุคสมัยนี้ไม่เป็นจริงๆ นั่นแหละ!
โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจ “น้องเขย เจ้ารู้หนังสือด้วยหรือ?”
“อื่ม” สวีฉางหลินตอบ
“รู้หนังสือก็ไม่เห็นเจ้าเขียนกลอนรักให้ข้าสักบท” โจวกุ้ยหลานเอ่ย
ก็เป็นผู้ชายของนางนี่ ถ้าเขียนกลอนรักให้นาง นางต้องเอาเก็บอย่างดีแน่นอน เพราะในอดีตชาตินางไม่เคยได้จดหมายรักสักฉบับ! เป็นความเสียใจใหญ่หลวงแห่งชีวิต!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...