โจวกุ้ยหลานเองก็ใช้โอกาสนี้เรียนรู้คำศัพท์มาได้ไม่น้อย แต่หิมะด้านนอกก็ไม่ยอมหยุดตกสักที ลมหนาวก็พัดโชยมา นางก็ยังเตรียมของสำหรับใช้ในวันตรุษจีนไม่ได้ แล้วจะฉลองตรุษจีนยังไงหล่ะ?
โจวกุ้ยหลานหุงข้าวหนึ่งหม้อ และเอาหัวผักกาดกับหัวไชเท้าที่สวีฉางหลินเอามาจากบ้านของเหล่าไท่ไท่มาผัดจนเสร็จแล้ว ก็เรียกให้เจ้าก้อนน้อยกับสวีฉางหลันมากินข้าว
ทั้งสามนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆโต๊ะอาหาร ข้างๆ มีอ่างเผาถ่านอยู่ แบบนี้โจวกุ้ยหลานถึงได้รู้สึกอบอุ่น
“ถ้าหิมะยังตกอยู่แบบนี้หละก็พวกเราคงไม่มีอาหารกินกันแล้วล่ะ คงต้องไปเอาอาหารที่บ้านแม่อีก” โจวกุ้ยหลานกินข้าวกับหัวผักกาดและหัวไชเท้า รู้สึกว่ามันจืดชืดมากๆ เลย
หลายวันมานี้ นางมองดูน้ำหนักของครอบครัวทุกคนลดลงไปไม่น้อย
สวีฉางหลินกินข้าวคำหนึ่ง คีบไชเท้ามากินชิ้นหนึ่ง
“ตอนบ่ายข้าจะไปหาของป่า”
“ไม่ได้สิ! หิมะตกหนักขนาดนี้มองไม่เห็นทางหรอก ถ้าเจ้าหลงทางไปจะทำยังไง? อีกอย่าง สัตว์มันจำศีลตอนฤดูหนาว หิมะตกแบบนี้ เจ้าหาเจอก็แปลกแล้ว” โจวกุ้ยหลานห้ามปรามอย่างทันควัน
แม้ว่าอาหารจะไม่น่ากินขนาดไหน แต่ก็ไม่ปล่อยให้สวีฉางหลินต้องไปตกอันตรายแบบนั้น
ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น นางจะไปตามหาเขาที่ไหนหล่ะ?
บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!
สวีฉางหลินรู้ว่าโจวกุ้ยหลานเป็นห่วงเขามาก เลยไม่ได้พูดอะไรมาก
"ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเรายิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องฉลองวันตรุษจีนเลย!ไม่มีเนื้อเลย นี่เป็นฉลองตรุษจีนที่ไหนกันล่ะ นี่คือไปปล้น"
โจวกุ้ยหลานพูดจบก็วางชามข้าวลง
นางเป็นคนที่ชอบกินเนื้อมาก หลายวันแล้วที่ไม่ได้กินเนื้อเลย ช่างรู้สึกไม่มีความสุขเลยจริงๆ!
ไม่ได้ ฉลองตรุษจีนยังไงก็ต้องมีเนื้อสัตว์
นางคิดพลาง แววตาก็เป็นประกาย หันหน้าไปมองสวีฉางหลิน "ไม่งั้นพวกเราไปซื้อหมูตัวหนึ่งจากในหมู่บ้านดีไหม? หิมะตกหนักไปถึงยอดเขาแบบนี้ พวกเขาขายหมูไม่ได้หรอก พวกเราไปซื้อกัน!"
"ตกลง"สวีฉางหลินตกปากรับคำ
โจวกุ้ยหลานยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าซื้อหัวหมูน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
อย่างบ้านอื่นเขามีที่นา ในบ้านก็มีอาหาร ต่อให้หิมะตก เขาก็ไม่มีทางอดอยาก อย่างทุกบ้านก็เลี้ยงหมูไว้ตั้งสองสามตัว เพื่อไว้ขายตอนช่วงตรุษจีน หิมะตกหนักขนาดนี้ เกรงว่าจะขายไม่ออก ถ้านางอยากจะซื้อล่ะก็ ต้องมีคนยอมขายให้
พอกินข้าวเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็ให้เงินสองตำลึงกับสวีฉางหลินลงเขาไปหาเหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่คนนั้นเลี้ยงหมูไว้สองตัว ซื้อหมูจากนางอ่ะดีที่สุดแล้ว
ช่วงบ่ายโจวกุ้ยหลานกับเจ้าก้อนน้อยอยู่ในบ้าน แข่งกันเขียนหนังสือลงบนพื้นว่าใครเขียนสวยกว่า
โจวกุ้ยหลานผู้ที่เรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้รู้ตัวหนังสือยังไม่ถึงร้อยตัว ยังไงก็ต้องเขียนได้สวยกว่าเจ้าก้อนน้อยแน่นอนอยู่แล้ว
เจ้าก้อนน้อยมองดูตัวหนังสือที่บิดบิดเบี้ยวเบี้ยวที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็หันไปดูตัวหนังสือที่สวยกว่าของแม่ ก้มหน้าอย่างนอยด์ๆ"เสี่ยวเทียนโง่จัง ท่านแม่ฉลาด"
คำนี้ทำให้โจวกุ้ยหลานหน้าแดงขึ้น อายุนางจวนจะสามสิบแล้ว แถมยังจะแข่งกับเด็กอายุสามขวบ ช่างเป็นชัยชนะที่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
คิดพลาง โจวกุ้ยหลานก็เม้มปากเผยรอยยิ้มอันเคอะเขิน ตอบเจ้าก้อนน้อยไปว่า “แม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว มือนี้เลยมีแรงมากกว่าเสี่ยวเทียนยังไงล่ะ! เสี่ยวเทียนฝึกเขียนบ่อยๆ ฝึกกำลังมือเยอะๆ เดี๋ยวก็เขียนสวยแล้ว”
ได้รับกำลังใจจากแม่แล้ว เสียวเทียนก็พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง และไปหยิบกิ่งไม้มาฝึกเขียนลงบนพื้นอย่างมีความสุขต่อไป
พอเห็นว่าเจ้าก้อนน้อยโดนตัวเองหลอกแล้ว โจวกุ้ยหลานก็รู้สึกว่าใบหน้าของนางไม่ร้อนอีกแล้ว
นางย้ายเก้าอี้มานั่งดูเจ้าก้อนน้อยบรรจงลากเขียนหนังสือทีละตัวทีละตัว แม้ว่าจะไม่ค่อยสวยนัก แต่ก็ดูได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...