ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่โจวกุ้ยหลานก็ยังลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ประตู ก็เห็นสวีฉางหลินถึงกับพลิกตัวปีนเข้ามาทางประตูเหล็กบานใหญ่จริง ๆ อีกทั้งในมือยังถือจอบมาด้วย
โจวกุ้ยหลานปรายตามองไปยังกำแพงส่วนลานหน้าที่สูงราวหนึ่งช่วงตัวคน ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยหินแหลมที่นางเคยสั่งให้คนใส่เข้าไปตอนที่ทำมันขึ้นมา ใครคนอื่นอาจจะพอคิดได้อยู่ แต่นางคิดไม่ถึงหรอก ว่าประตูนั่นมันจะป้องกันอะไรไม่ได้เลย......
สวีฉางหลินเดินเข้ามา ได้เห็นดวงตาที่หมองคล้ำอิดโรยของภรรยา ในใจก็แอบรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อวานเหมือนว่าจะเตลิดเกินไปหน่อย.....
“พรุ่งนี้เปลี่ยนประตูใหม่ด้วย” โจวกุ้ยหลานที่ปิดปากเงียบอยู่เมื่อครู่พลันเปิดปากออก แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ได้"
“ลับหินแหลมบนขอบประตูให้มันคมขึ้นอีกหน่อย จะได้ทิ่มคนที่มันกล้าปีนเข้ามาให้ตายไปเลย” โจวกุ้ยหลานพูดต่อ
สวีฉางหลินรู้สึกแค่ว่ามีไอเย็นเยือกสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา แต่ครั้งนี้เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก เปิดประตูได้ก็สาวเท้าเดินกลับเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว หยิบอาหารไก่ออกมา เลียนแบบวิธีการที่โจวกุ้ยหลานทำเมื่อก่อน เคาะกาละมังไปทางฝูงไก่ที่อยู่ด้านนอก พวกไก่โตพอได้ยินเสียงเคาะก็เดินกลับมา ส่วนลูกไก่ ลูกเป็ด และลูกห่านตัวเล็ก ๆ ก็เดินส่ายซ้ายส่ายขวาตามกลับมาด้วย
หลังจากโปรยอาหารจนทั่วลานเสร็จ พวกฝูงไก่ ฝูงเป็ด และฝูงห่านก็เดินยักย้ายส่ายสะโพกไปจิกกินอย่างสบายอารมณ์
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า โจวกุ้ยหลานก็ลุกขึ้นตรงไปที่ห้องครัว ถึงช่วงเที่ยงวันแล้ว นางควรทำอาหารได้แล้ว
เพิ่งจะเดินกลับมาถึงห้องครัว ไม่นานหลังจากนั้น สวีฉางหลินก็ตามเข้ามา ผสมข้าวและกับข้าวที่กินเหลือเมื่อวันก่อนกับธัญพืชที่ต้มจนเละเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็หิ้วออกไปให้อาหารหมูต่อ
เมื่อดูสภาพอากาศ โจวกุ้ยหลานจึงทำเซาปิ่งเนื้ออีกอย่าง นางคิดว่าบ้านของพี่สาวคนโตมีเด็กหลายคน จึงทำเพิ่มให้มากขึ้นอีกหน่อย หลังจากล้างซี่โครงแล้ว ก็นึกถึงซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงที่เคยทำก่อนหน้านี้ เลยทำซี่โครงหมูอบปรุงรส เพิ่มหัวไชเท้าฝานเป็นแผ่นบาง ๆ เพิ่มความคล่องคอ ส่วนรายการสุดท้ายก็ทำน้ำแกงกระต่ายตุ๋นใส่ไข่
หลังจากทำอาหารกลางวันเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็เรียกสวีฉางหลิน ขอให้เขาช่วยนำเซาปิ่งเนื้อไปให้แม่ แล้วให้รวดรับเจ้าก้อนน้อยกลับมาด้วย
สวีฉางหลินรีบไปอย่างรวดเร็ว ทางโจวกุ้ยหลานก็เริ่มหุงข้าว
ขณะที่กำลังยุ่ง ๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกนางจากข้างนอก โจวกุ้ยหลานตอบรับไปประโยคหนึ่ง แล้วรีบเดินออกไปเปิดประตู เห็นเพียงหลิวอ้ายยืนร้องไห้จนตาแดงก่ำอยู่หน้าประตู
"นี่เจ้าเป็นอะไรไป?"
โจวกุ้ยหลานอดถามไม่ได้
หลิวอ้ายฝืนกลั้นน้ำตา บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
ที่แท้เป็นเพราะหลิวซิ่วฉายรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของตัวเองดีขึ้นมากแล้ว แถมตอนนี้ก็เป็นช่วงเตรียมดินก่อนการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ จึงพาหลิวอ้ายไปลงนาด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าร่างกายจะฝืนรับไม่ไหว เกิดหมดสติไปกลางแปลงนา หลิวอ้ายจึงขอให้ในคนหมู่บ้านช่วยเขาแบกพ่อกลับไปที่บ้านก่อน จากนั้นก็วิ่งมาหานางที่นี่ทันที
“พี่กุ้ยหลาน พี่ยังต้องการหนังสืออีกหรือไม่? ข้าจะขายให้พี่ทั้งหมดเลย!” หลิวอ้ายพูดอย่างร้อนรน
“ไปดูอาการพ่อของเจ้ากันก่อนเถอะ” โจวกุ้ยหลานไม่พูดอะไรมาก รีบสาวเท้ากลับไปที่ห้องของตัวเอง มองไปที่กองไฟบนเตา เมื่อเห็นว่าใกล้จะมอดแล้ว ส่วนข้าวในหม้อก็สุกจวนจะได้ที่แล้ว นางจึงหยิบกุญแจขึ้นมา ล็อคประตูหน้าบ้าน แล้วไปหยิบเงินในห้องตัวเองมาหนึ่งตำลึง เดินตามหลิวอ้ายที่กำลังร้อนอกร้อนใจออกไปพร้อมกัน
บ้านที่หลิวซิ่วฉายอาศัยอยู่นั้น เป็นกระท่อมมุงจากที่มีขนาดเตี้ยและเก่าทรุดโทรม ทันทีที่โจวกุ้ยหลานเดินเข้าไป ก็รู้สึกว่าข้างในนี้ชื้นมาก ถึงขั้นมีน้ำไหลซึมขึ้นมาจากพื้นดินเลยด้วยซ้ำ ภายในบ้านมืดสนิท ทันทีที่เข้าไปก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวเอาเสียเลย
ทันทีที่กลับมาถึง หลิวอ้ายก็วิ่งตรงไปที่ข้างเตียงเพื่อดูอาการของพ่อ โจวกุ้ยหลานก็ไม่เข้าไปก้าวก่าย รีบพุ่งไปเปิดหน้าต่างออก บวกกับเปิดประตูค้างไว้ให้แสงแดดส่องเข้ามา รวมถึงให้อากาศเกิดการถ่ายเท
จากนั้น นางก็เดินออกประตูไปหาคนที่อยู่บ้านข้าง ๆ กัน แล้วขอให้ผู้ชายของบ้านนั้นช่วยไปเรียกหมอหวังมาให้หน่อย แต่น่าเสียดายที่คนในบ้านนั้นกลับส่ายหน้าเป็นพัลวัน เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกขอให้เป็นคนจ่ายเงิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...