ถ้าไม่ได้นาง เขากับลูกชายคนเองคงจะหิวตายไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว ไหนเลยจะยังสามารถรอดมาจนถึงตอนนี้ อีกอย่าง ในขณะทุกคนกำลังกังวลเรื่องอาหาร เขากับลูกยังคงไม่อดตาย ก็ต้องขอบคุณโจวกุ้ยหลานเช่นกัน
โจวกุ้ยหลานมองเขาด้วยสายตารู้สึกทึ่ง ในความคิดของนาง หลิวเกาเป็นคนที่หัวโบราณมาก แต่ตอนนี้กลับเข้าใจนาง
“ทำไมหรือ” หลิวเกาเห็นนางเอาแต่จ้องมองตนเอง จึงถามอย่างประหลาดใจ
โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า จากนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา “ข้าแค่รู้สึกว่าให้ลูกๆเรียนกับท่านดีที่สุดแล้ว ”
คำพูดนี้ทำเอาหลิวเการู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง พูดจาถ่อมตัวอยู่หลายประโยค
หลังจากที่ขนเสบียงอาหารออกมา ตอนค่ำจึงต้มข้าวสวย ให้ทุกคนกินกันอย่างอิ่มท้อง เพียงแต่ตอนนี้แม้แต่เสบียงอาหารก็ไม่มีแล้ว อย่าพูดถึงกับข้าวเลย
แต่แค่ข้าวเปล่าเท่านั้น ทั้งครอบครัวของโจวกุ้ยหลานและครอบครัวของโจวต้าซานต่างก็กินกันอย่างพอใจมาก สุดท้าย ระหว่างที่หลี่ซิ่วยิงกำลังกินข้าวอยู่ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา
โจวชิวเซียงเอาแต่ก้มหน้ากินข้าว และหันมาดูลูกสาวตนเองบ้างเป็นบางครั้ง ไม่พูดจาสักคำ ดูนางแก่ลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ในเมื่อนางไม่ก่อเรื่อง กินข้าวเงียบๆ และเห็นแก่หน้าของโจวต้าซาน โจวกุ้ยหลานก็ไม่อยากจะสนใจนาง
กลุ่มคนที่ไป๋ยี่เซวียนให้อยู่ต่อที่นี่ หลายวันมานี้ก็ยากมากที่จะได้กินข้าวสวยสักมื้อ แต่ละคนกินกันชามโตๆ ปริมาณน่าตกใจมาก
เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ทุกคนต่างก็เข้านอนแต่หัวค่ำ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่จัดการธุระส่วนตัวและกำลังเปิดประตูนั้น ก็พบว่าได้มีคนมารออยู่เต็มไปหมดแล้ว แต่ละคนใบหน้าซีดเหลืองและผอมโซ บางครั้งก็มองมาในบ้านอย่างมีความหวัง
เมื่อเห็นโจวกุ้ยหลานออกมา หวังโหยวเกินและผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็รีบเดินเข้าไปหา ทักทายกับโจวกุ้ยหลาน
เมื่อเห็นพวกเขามีท่าทีระมัดระวังมาก โจวกุ้ยหลานก็รีบเชิญพวกเขาเข้าไปในบ้าน
ก่อนจะเดินเข้าไป หวังโหยวเกินได้หันกลับไป ทำท่ากดมือลงให้คนที่ยืนอยู่ทางด้านนอก “พวกเจ้ารอก่อนนะ”
คนเหล่านั้นต่างพยักหน้า รออยู่ข้างนอกอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่เชิญพวกเขาเข้ามาในบ้านแล้ว เหล่าไท่ไท่กับโจวคายจือก็รีบยื่นน้ำให้พวกเขาดื่ม
ครั้งนี้ หวังโหยวเกินและผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง รับน้ำไป กระทั่งเวลาพูดจากับพวกเขาก็ระวังเป็นพิเศษ
โจวกุ้ยหลานทำเหมือนมองไม่เห็นความผิดปกตินี้ ยังคงปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนแต่ก่อน ปรึกษาหารือเรื่องต่างๆกับพวกเขา แล้วจึงเอ่ยอย่างระอาใจว่า “หลิวเกายังไม่มาเลย ให้คนไปเรียกเขาดีกว่า ”
ในหมู่บ้านนี้มีซิ่วฉายแค่คนเดียวเท่านั้น จึงเหมาะที่จะทำเรื่องนี้มากที่สุด
หวังโหยวเกินรีบลุกขึ้นยืน บอกว่าเขาจะเป็นคนไปเรียกหลิวเกาเอง โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้ห้าม เดินตามโจวต้าไห่ไปจัดการยกโต๊ะไปวางไว้ด้านนอก เตรียมพวกเก้าอี้ให้พร้อม
คนที่ไป๋ยี่เซวียนทิ้งไว้ให้เหล่านั้นตอนนี้ไม่ได้มีท่าทีพูดยากเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ถึงกับช่วยโจวกุ้ยหลานจัดเตรียมของเหล่านั้นด้วยตนเอง ผ่านไปชั่วครู่ สิ่งที่ควรจัดเตรียมก็ถูกเตรียมเอาไว้พอสมควรแล้ว
ตอนที่ทำงานเหล่านี้อยู่ นอกลานบ้านกลับไม่มีคนเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิวเกาก็มาถึง ยังมีตาชั่งที่หวังโหยวเกินนำมาด้วย
ตอนนี้ทุกคนยังไม่มีใครกินข้าวเช้า แต่ว่าข้างนอกมีคนมารออยู่แล้ว จะให้พวกเขารออยู่อย่างนี้ไมได้ โจวกุ้ยหลานจึงได้แต่ให้ทุกคนเริ่มทำงานทันที
กลับไปที่เรือน โจวกุ้ยหลานให้เหล่าไท่ไท่กับโจวคายจือต้มโจ๊กผักป่าเป็นอาหารเช้า
หลิวเกานั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือพู่กันเอาไว้ รอที่จะเขียนข้อตกลงในการยกที่ดินให้ หวังโหยวเกินและเหล่าพวกอาวุโสต่างก็นั่งอยู่ข้างๆเขา รอให้คนที่เข้าแถวอยู่เดินเข้ามาทีละคน บอกว่าตนเองต้องการจะแลกเปลี่ยนที่น่าเท่าไหร่ จากนั้นโจวต้าไห่กับโจวต้าซานช่วยกันจินเสบียงอาหาร
และที่นาที่คนคนนั้นพูดถึงคือผืนไหน หวังโหยวเกินและเหล่าผู้อาวุโสปรึกษากันชั่วครู่ ก็สามารถรู้ได้แล้ว จากนั้นก็เป็นพยาน แล้วก็ประทับลายนิ้วมือไว้บนหนังสือข้อตกลงยกที่ดินให้โจวกุ้ยหลาน
ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็เฝ้าอยู่หน้าประตู กำหนดไว้ว่าสามารถเข้าออกได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...