“ข้าอายุเท่าเจ้า” รุ่ยอานกล่าวอย่างมิพอใจ
รุ่ยหนิงเบ้ริมฝีปากทำหน้ามุ่ย “เจ้าแก่กว่าข้า เอาไว้ข้าอายุเท่าเจ้าก็เข้าใจและฉลาดเอง”
“ใช่ๆ ไว้หนิงหนิงโตขึ้นก็เข้าใจเอง” โจวกุ้ยหลานรีบตอบรับทันที
นางจะโจมตีทำร้ายจิตใจบุตรชายคนเล็กมิได้ มิเช่นนั้นในอนาคตเขาเป็นคนอารมณ์ร้ายแล้วจะทำเช่นไร
เมื่อกล่าวจบก็ได้ยินเสียงม้าดังมาจากข้างหลัง โจวกุ้ยหลานเหลือบมองดูแล้วพบว่าเป็นรถม้าจริงๆ จากนั้น จึงได้ดึงรุ่ยอานและรุ่ยหนิงไปด้านข้าง
รุ่ยอานยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิมว่า “เจ้ามิมีวันโตทันข้า ดังนั้นเจ้ามิมีวันฉลาดไปกว่าข้า”
รุ่ยหนิงที่อยู่ด้านข้างมิอาจเถียงได้จึงเงยหน้ามองดูโจวกุ้ยหลานอย่างมีความหวัง
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับสายตาที่จ้องมองมา เรื่องนี้......นางเองก็มิอาจตอบได้
เพราะว่าพี่ใหญ่นั้นฉลาดกว่าน้องเล็ก หากจะกล่าวความจริงนี้ออกไปเกรงว่าจะทำให้รุ่ยหนิงต้องเสียใจ แต่หากว่าน่าโกหก ก็อาจจะทำร้ายรุ่ยอาน ช่างเป็นปัญหาที่ยากเย็นเสียจริง......
“ท่านแม่ มิชอบหนิงหนิงแล้วหรือ?” น้ำเสียงของเด็กน้อยทำท่าจะร้องไห้ดังขึ้น
โจวกุ้ยหลานก้มหน้าลงมองเห็น รุ่ยหนิงกัดริมฝีปากตน ดวงตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า
“มิใช่ว่าแม่มิรักรุ่ยหนิง”
“หนิงหนิงจะมิมีวันฉลาดเท่าพี่ชายได้จริงหรือ?” รุ่ยหนิงกะพริบตาแล้วเอ่ยถามโจวกุ้ยหลาน
“แน่นอนว่าเจ้ามิมีวันฉลาดเท่าข้า” รุ่ยอานกล่าว
โจวกุ้ยหลานแอบหยิกแขนของรุ่ยอานแล้วหันไปทางรุ่ยหนิง พบว่าเขานิ่งเงียบ จึงรีบเข้าไปปลอบใจรุ่ยหนิง “ต่อให้รุ่ยหนิงมิฉลาดเท่ากับพี่ แต่รุ่ยหนิงก็มิได้โง่ใช่ไหมเล่า? รุ่ยหนิงกินข้าวเยอะๆ จะได้ตัวใหญ่กว่าพี่”
“อืม” รุ่ยหนิงพยักหน้าของเขาอย่างแรงแล้วหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
โจวกุ้ยหลานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใอหยาสิ การมีลูกสองคนนี่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ดีมิดีก็อาจทำร้ายใครคนหนึ่งเข้า
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นนางก็ได้ยินเสียงของม้าร้อง จึงได้หันกลับไปดูที่ด้านข้างถนน เพื่อเว้นที่ว่างขนาดใหญ่ไว้ให้กับรถม้า
“พวกเจ้าสามคนยืนรอให้ถูกปล้นหรือ?”
เสียงหัวเราะเยาะดังมาภายในรถม้า โจวกุ้ยหลานจึงเงยหน้าขึ้นมองดู พบไป๋ยี่เซวียนนั่งโบกพัดอยู่ในรถม้า มองมาด้วยรอยยิ้มกึ่งหนึ่ง
โจวกุ้ยหลานแย้มริมฝีปากของตนขึ้น “พวกเราแม่ลูกช่างยากจนน่าสงสาร ใครกันจะมาปล้นพวกเรา แต่ผู้ที่ดูสง่าผ่าเผยและมั่งคั่งนั่งอยู่บนรถม้า เกรงว่าจะถูกปล้นเสียมากกว่า”
“เจ้ายากจนงั้นหรือ?” ไป๋ยี่เซวียนกล่าวประโยคนั้นซ้ำอีกครั้ง ก่อนที่จะเหลือบมองไปทางโจวกุ้ยหลานแล้วหัวเราะส่ายหน้าออกมา
โจวกุ้ยหลานยักไหล่ขึ้น แล้วเก็บห่อผ้าที่ใส่ตั๋วเงินเอาไว้สี่หมื่นสองพันตำลึง นางกล่าวด้วยท่าทางอันสงบนิ่งว่า “หากข้ามิยากจนแล้วใครจะจนเล่า เจ้าดูเถิดสตรีคนหนึ่งที่มิมีสามี ต้องพาลูกอีกสองคนเดินเท้าเร่ร่อน คิดว่าจะมีชีวิตที่ดีหรือ?”
ไป๋ยี่เซวียนยกมือขึ้นกำแล้วกระแอมเบาๆ ออกมาสองสามหน “นั่นเรียกว่าสตรีผู้อ่อนแอบอบบาง”
“ถูกต้องแล้วสตรีผู้อ่อนแอเช่นข้าพาลูกอีกสองคนเดินทางเร่ร่อน มิมีเงินกินข้าวอิ่มท้อง ทั้งยังต้องออกหาสามีไกลนับพันลี้”
ไป๋ยี่เซวียนเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เขาหยุดสนทนาไร้สาระกับโจวกุ้ยหลาน แล้วสั่งให้คนขับรถม้าหยุดลง ก่อนจะก้าวออกจากรถม้า เดินมาตรงหน้าโจวกุ้ยหลานแล้วยืนนิ่ง
“เจ้าตั้งใจจะพาลูกชายทั้งสองเดินไปที่เมืองหลวงหรือ?”
โจวกุ้ยหลานมองไปตามสายตาของเขาซึ่งจับจ้องไปยังขาสั้นของลูกชายทั้งสองก่อนจะส่ายหน้าว่า “ข้าคงมิสามารถทรมานพวกเขาได้หรอกข้าเพียงแต่จะไปหาผู้คุ้มกันมาคุ้มกันเรา แล้วนั่งรถม้าของสำนักคุ้มกันไปที่เมืองหลวง”
“ท่านแม่ อะไรคือผู้คุ้มกัน?” รุ่ยหนิงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามโจวกุ้ยหลาน
รุ่ยอานที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา
รอ บทต่อไปค่ะ...