ตอนที่ 1206 พัฒนาชุมชน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของต้าเซี่ยได้ถือกำเนิดขึ้นหลังจากพัฒนาด้านคมนาคม
โดยเฉพาะหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนโดยสารเรือจากเมืองเจียงเฉิงไปยังเมืองจินหลิง…และจากจินหลิงไปยังชื่อเล่อชวน
“บัดนี้ชื่อเล่อชวนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ฝ่าบาทอาจจะยังมิทราบสินะ ชาวจินหลิงมิเคยเห็นทุ่งหญ้ามาก่อน พวกเขาอยู่ในเมืองจินหลิงจนเบื่อหน่าย จึงพากันเดินทางไปเที่ยวชมทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่ชื่อเล่อชวน พวกเขาจึงได้รู้ว่าการเที่ยวชมธรรมชาติมันน่ารื่นรมย์เพียงใด”
“และในขณะเดียวกัน ชาวชื่อเล่อชวนที่สนอกสนใจในวัฒนธรรมของอดีตราชวงศ์หยูเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น บัดนี้พวกเขามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมเมืองจินหลิง…จึงได้รู้ว่าความเจริญรุ่งเรืองของเมืองใหญ่เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“กระหม่อมเห็นว่าการท่องเที่ยวก็คือการที่มนุษย์อาศัยอยู่สถานที่หนึ่งนาน ๆ จนรู้สึกเบื่อหน่าย จึงมีความคิดอยากจะเดินทางไปยังสถานที่แปลกใหม่ เมื่อชาวต้าเซี่ยมีเงินทองเหลือจากการใช้สอยประจำวัน พวกเขาก็มักจะนำเงินนั้นไปซื้อประสบการณ์เเปลกใหม่เสมอ ดังนั้นพวกเขาย่อมยินยอมที่จะเสียเงินเพื่อเข้าไปชมป่าทึบ เที่ยงเขา ล่องวารี ชมบุปผาและชมวิถีชีวิตของชาวเขา”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มดีใจพลางครุ่นคิดว่าความคิดของเจ้าหมอนี่ใช้ได้เลยทีเดียว
เมื่อเเต่ละหมู่บ้านมีถนนคอนกรีตเชื่อมหากัน นี่มิเพียงแต่จะทำให้ราษฎรเที่ยวสัญจรได้สะดวกเท่านั้น ทว่ามันยังสะดวกต่อการบริหารงานราชการอีกด้วย
แน่นอนว่าการท่องเที่ยวขึ้นอยู่กับทรัพยากรในท้องถิ่น ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่ามิใช่ทุกเเห่งจะเหมาะกับการใช้วิธีนี้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามต่อว่า
“หากเป็นพื้นที่ที่มิเหมาะต่อการท่องเที่ยวเล่า ? ”
“พวกเราจึงจำเป็นต้องเข้าไปตรวจพื้นที่ สำหรับหมู่บ้านที่มีภูมิศาสตร์มิเอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิต คำแนะนำของกระหม่อมก็คือให้ทางการย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่ให้หมด ต้าเซี่ยใหญ่โตมโหฬารถึงเพียงนี้ ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่ต้องการกำลังคน เมื่อออกมาเเล้วพวกเขาจะได้หางานทำ หรือทางการจะจัดสรรที่นาให้พวกเขาทำมาหากินก็ย่อมได้”
“อีกอย่าง…กระหม่อมคิดว่าถ้าหากพวกเรายึดที่ดินเหล่านั้นกลับคืนมาแล้วผนวกรวมที่ดินของราษฎรเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ให้นายทุนรายใหญ่ผูกขาดสร้างโรงงานประกอบการเสีย ทว่าวิธีนี้ต้องได้รับการพิสูจน์เสียก่อน กระหม่อมมิทราบว่าจะสามารถปฏิบัติจริงได้หรือไม่”
“เพราะฝ่าบาทเองก็เคยคัดค้านการยึดที่ดินมาก่อน”
เยี่ยนซีเหวินเอ่ยพลางหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน คงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน
เพราะในฐานะนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนย่อมเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้เช่านั้นมีความมิเป็นธรรมมากเพียงใด
“ไหนลองเอ่ยความเห็นของเจ้าต่อการยึดครองที่ดินมาสิ”
เยี่ยนซีเหวินพลันรู้สึกโล่งอก “ก็เป็นดั่งที่กระหม่อมได้เอ่ยไปนั่นเเหละ ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปเเล้ว การเกษตรมิจำเป็นต้องใช้แรงงานคนมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ทว่าเยี่ยงไรก็ยังต้องรักษาผลผลิตทางการเกษตรให้คงเดิมหรือสูงกว่าเดิม”
“กระหม่อมเห็นว่าเกษตรกรรายเล็กมิเหมาะกับการพัฒนาของต้าเซี่ยในยุคปัจจุบัน ในเมื่อปฏิรูปการค้าได้ การเกษตรก็ย่อมปฏิรูปได้เช่นกัน ! ”
“เหตุใดไร่นาของราชสำนักที่โม่โจวถึงมีผลผลิตสูงถึงเพียงนั้นกันเล่า ? ประการเเรกเป็นเพราะการจัดการดูเเลอย่างดีเยี่ยมของหวางเอ้อร์ ส่วนประการที่สองนั้น…กระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะทางราชสำนักปลูกข้าวขนานใหญ่เยี่ยงไรเล่า ! ”
“ไร่นาของราชสำนักที่โม่โจวมีด้วยกันทั้งสิ้น 40,000 หมู่ ทว่าหวางเอ้อร์กลับใช้แรงงานคนมิมากนัก เขาใช้แรงงานคนเพียงหกพันกว่าคนเท่านั้น”
“เมื่อลองคำนวณดูจะพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วแรงงานคน 1 คนสามารถปลูกข้าวได้มากถึง 100 หมู่ เมื่อปีนั้นพวกเราปลูกข้าวที่ซีซาน ทว่าแรงงานคน 1 คนปลูกข้าวได้มากสุดแค่ 30 หมู่เท่านั้น นี่เท่ากับว่าพวกเขามีประสิทธิภาพในการปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่าตัว ! ”
“แน่นอนว่าพวกเรามิอาจนำสภาพไร่นาในสถานที่เหล่านั้นไปเปรียบเทียบกับโม่โจวได้ ทว่าหากให้มีการผูกขาดทางการเพาะปลูก พวกเขามิจำเป็นต้องปลูกข้าวเสมอไป อาจจะหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอื่นเเทนเช่นลูกหม่อนหรือไม้ผลอื่น ๆ ”
“มิจำเป็นต้องปลูกข้าวบนพื้นที่กันดารเช่นนั้น กระหม่อมคิดว่าควรจะปลูกข้าวในสถานที่ที่เหมาะสม ส่วนสถานที่ที่มิเหมาะต่อการปลูกข้าวก็ให้พวกเขาเลือกเองว่าจะปลูกอันใด”
“กระหม่อมมีความคิดเห็นคร่าว ๆ เช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของฝ่าบาท”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)